เมื่อวันที่ 21-22 ส.ค. ที่ผ่านมา เว็บไซต์ MINI-TH.com ของเราได้รับเกียรติจากทาง มินิ ประเทศไทย เข้าร่วมงานทดสอบรถยนต์ The new MINI กับกิจกรรม “MINI Driving Experience: From the Original to the New Original” ทดสอบรถยนต์มินิใหม่ เส้นทางกรุงเทพฯ – ชะอำ เพื่อสัมผัสดีไซน์และฟังก์ชั่นการใช้งานตามแบบฉบับของมินิ โดยมีรถมินิรุ่นใหม่ให้ลองทดสอบครบ ทั้ง MINI Cooper, MINI Cooper D และ MINI Cooper S
From the Original to the New Original
The new MINI รุ่นล่าสุด นับเป็นมินิใหม่ ในเจเนอเรชั่นที่สามแล้ว ซึ่งยังคงคอนเซ็ปต์ของรถยนต์มินิ ด้วยปรัชญาการออกแบบที่ยึดถือจากคอนเซ็ปต์ของรถยนต์มินิคลาสสิค ที่ได้ก่อกำเนิดขึ้นมากว่า 55 ปี และยังคงเป็นรถยนต์ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวมากที่สุดยี่ห้อหนึ่งในตลาด ซึ่งการเปลี่ยนแปลงเจเนอเรชั่นแต่ละครั้ง ก็จะมีความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นค่อนข้างมาก ชนิดที่แทบจะไม่ใช้อะไหล่ร่วมกับมินิในเจเนอเรชั่นก่อนหน้าเลย ซึ่งกับ The new MINI ในเจเนอเรชั่นล่าสุดอย่าง F56 นี้ ก็ยังคงเป็นเช่นนั้น รวมถึงทาง MINI เองก็ได้เสริมเอาฟีเจอร์และเทคโนโลยีต่างๆ จากทาง BMW Group เข้ามาใช้ในรถยนต์มินิอย่างเต็มตัวมากขึ้นกว่าเดิมอย่างชัดเจน
แท้จริงแล้วรายละเอียดความใหม่ทั้งหมดของ The new MINI ในรหัส F56 นี้ ผมเคยได้สรุปเอาไว้แล้วเมื่อครั้งที่ทาง MINI ได้ทำการเปิดตัวไปอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน 2013 ที่ผ่านมา แต่มาถึงวันนี้ ได้โอกาสที่ทางมินิ ประเทศไทยทำการเปิดตัวเพื่อจำหน่ายในประเทศไทย จึงขอสรุปให้ได้อ่านกันอีกครั้ง ตามสเปค และออปชั่นมาตรฐาน สำหรับรุ่นที่นำเข้ามาจำหน่ายในบ้านเราโดยเฉพาะครับ
The new MINI มาพร้อมกับขนาดที่เพิ่มขึ้นในทุกมิติ โดยมีความยาวโดยรวมเพิ่มขึ้น 98 มิลลิเมตร ความกว้างเพิ่มขึ้น 44 มิลลิเมตร สูงขึ้น 7 มิลลิเมตร ความยาวฐานล้อเพิ่มขึ้น 28 มิลลิเมตร เมื่อเปรียบเทียบกับรุ่นก่อนหน้านี้ (R56) ช่วยเพิ่มความสะดวกสบายมากยิ่งขึ้นทั้งในด้านพื้นที่ใช้สอยภายในและในด้านการขับขี่ที่ผู้ขับสามารถสัมผัสได้ถึงความสะดวกสบาย อันเป็นผลจากมิติที่เพิ่มขึ้นในทุกๆด้าน แต่ก็ไม่ได้ทิ้งภาพลักษณ์ของความเป็นมินิแต่อย่างใด ภาษาด้านการออกแบบของมินิยังคงอยู่อย่างครบถ้วน ถึงแม้ว่าจะมีขนาดที่ใหญ่ขึ้นทุกด้านก็ตาม
ไฟหน้าที่ได้รับการออกแบบใหม่ของ MINI Cooper S ด้วยไฟหน้าและไฟเลี้ยวแบบ LED พร้อมไฟเสริมส่องทางในมุมอับด้านหน้าเมื่อเลี้ยวและไฟตัดหมอกแบบ LED (เฉพาะ Cooper S) นอกจากนี้ เทคโนโลยี LED ยังนำมาใช้กับไฟท้ายใน MINI ทั้งสามรุ่นด้วย
ภายในห้องโดยสาร ด้วยอานิสงส์จากความกว้างของตัวรถที่เพิ่มขึ้นก็มาพร้อมกับพื้นที่ใช้สอยที่มากขึ้น ที่นั่งด้านหน้าปรับตำแหน่งได้มากขึ้นและเพิ่มพื้นที่ของผู้โดยสารแถวหลังมากกว่าเดิมถึง 23 มิลลิเมตร ให้ผู้โดยสารแถวหลังมีพื้นที่ช่วงไหล่ กับ พื้นที่วางขาที่เพิ่มมากขึ้น เบาะหลังสามารถพับแยกได้สองส่วนแบบ 60:40 ทะลุกับช่องเก็บสัมภาระที่กระโปรงหลังที่เพิ่มความจุมากขึ้น 51 ลิตร รวมเป็น 211 ลิตร และฝาปิดพื้นของบริเวณที่เก็บสัมภาระ ยังสามารถยกขึ้นได้เพื่อเป็นเก็บของเพิ่มเติม แบ่งเป็นสัดเป็นส่วน สะดวกสบาย และเรียบร้อยกว่าเดิม
สิ่งที่เปลี่ยนไปอย่างมากจุดหนึ่งของ The new MINI คือหน้าจอแสดงผลและคอนเซ็ปต์การทำงานรูปแบบใหม่ บนแผงหน้าปัดบริเวณหลังพวงมาลัย ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ MINI ตัดสินใจไม่ใช้หน้าปัดกึ่งกลางตัวรถเป็นหน้าปัดบอกความเร็ว (central speedometer) ที่เป็นเอกลักษณ์ของรถมินิมาตั้งแต่รุ่นคลา่สสิค แต่หน้าปัดบอกความเร็ว ได้ย้ายมาอยู่ที่หน้าปัดหลังพวงมาลัยตรงนี้ สามารถแสดงผลความเร็ว รอบเครื่องยนต์ และปริมาณน้ำมัน ด้วยดีไซน์โค้งมนอย่างสวยงาม พร้อมหน้าจอขนาดเล็ก ที่สามารถแสดงผลจากคอมพิวเตอร์ได้อย่างครบถ้วน ส่วนตัวผมคิดว่ามันสามารถบอกรายละเอียดได้ดีและชัดเจนกว่าเดิมค่อนข้างมาก ถึงแม้ว่าอาจจะขัดต่อเอกลักษณ์ central speedometer ของรถมินิไปบ้างก็ตาม
สำหรับหน้าจอแสดงผลที่กึ่งกลางตัวรถ ที่เป็นเอกลักษณ์ของมินินั้น ได้ปรับการออกแบบให้เจ้าของรถเลือกการแสดงผลในฟังก์ชั่นต่างๆ ได้อย่างเก๋ไก๋แทนหน้าปัดบอกความเร็วที่เคยมีอยู่ใน MINI รุ่นก่อนๆ โดยที่ MINI Cooper S (สเปคประเทศไทย) มาพร้อมหน้าจอสีขนาด 8.8 นิ้ว ส่วน Cooper และ Cooper D มาพร้อมหน้าจอสีขนาด 6.5 นิ้ว ทุกรุ่นสามารถแสดงผลที่เกี่ยวกับฟังก์ชั่นของรถ ความบันเทิง และการเชื่อมต่อฟีเจอร์ MINI Connected โดยมีระบบควบคุมให้เลือกได้ 2 แบบ คือจอยสติ๊กแบบ MINI Controller สำหรับ Cooper กับ Cooper D และจอยสติ๊กแบบ MINI Touch Controller (มีระบบสัมผัส) เพื่อให้ผู้ขับขี่สามารถป้อนข้อมูลได้จากการเขียนเป็นลายมือด้วยนิ้วลงบนปุ่ม Controller ได้โดยตรงสำหรับรุ่น Cooper S
หน้าจอกึ่งกลางรถยนต์ ยังมีไฮไลต์เด็ดที่วงแหวนไฟ LED โดยรอบ โดยที่วงแหวนไฟนี้ สามารถเปลี่ยนสีรอบหน้าปัดตามสถานะของรถยนต์ในขณะนั้น เช่นเปลี่ยนสีตามโหมดต่างๆ (เข้าโหมด Sport ก็เปลี่ยนเป็นสีแดง, โหมด Green ก็ขึ้นเป็นสีเขียว) หรือการทำงานของฟังก์ชั่นต่างๆ เช่น ขณะถอยจอด (ระบบ PDC) ทำงาน วงแหวนจะแสดงสีเป็นระยะห่างระหว่างรถกับสิ่งกีดขวางด้านหลังรถ เป็น สีเขียว เหลือง หรือแดง ตามความใกล้-ไกลของสิ่งกีดขวาง, หรือเมื่อผู้ขับขี่ปรับแอร์ ก็จะเปลี่ยนเป็นวงแหวนสีน้ำเงิน/แดง พร้อมขีดไฟสีขาวที่หมุนไปตามอุณหภูมิ, หรือเมื่อเปลี่ยนความดังของวิทยุ ก็เป็นแถบไฟหมุนตามระดับที่ปรับ เป็นต้น นอกจากนี้ยังแสดงไฟสถานะสำหรับระบบแผนที่นำทาง MINI Navigation ซึ่งเมื่อรถเข้าใกล้จุดหมายปลายทางมากขึ้นเท่าไร แถบไฟบนวงแหวนก็จะลดน้อยลงตามไปด้วย ซึ่งเทคโนโลยีแผนที่นำทาง MINI Navigation นี้ สามารถใช้งานได้แล้วเป็นครั้งแรกในประเทศไทยเฉพาะในรุ่น Cooper S
ส่วนของเครื่องยนต์ใน new MINI นี้ เบื้องต้น สเปคที่นำเข้ามาจำหน่ายในไทย ถูกแบ่งออกเป็นทั้งหมด 3 รุ่นย่อย คือ MINI Cooper, MINI Cooper D และ MINI Cooper S ซึ่งเป็นเครื่องยนต์ใหม่ล่าสุดทั้ง 3 รุ่น จากการพัฒนาเครื่องยนต์ของ BMW Group เอง โดยขุมกำลังของมินิรุ่นใหม่นี้ มาพร้อมกับเทคโนโลยี MINI TwinPower Turbo ทุกรุ่น ไม่ว่าจะเป็นเครื่องยนต์เบนซินหรือดีเซลก็ตาม คำว่า TwinPower Turbo ถูกแบ่งออกเป็นสองส่วนคือ TwinPower หมายถึงเทคโนโลยีการจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิง fuel injection systems ร่วมกับเทคโนโลยีวาล์วแปรผัน VALVETRONIC และ dual VANOS ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ได้มาจาก BMW ส่วนคำว่า Turbo ต่อท้าย ก็คือเสริมกำลังด้วยเทอร์โบชาร์จเจอร์ ให้กับเครื่องยนต์ทุกรุ่น รวมถึงในรุ่น Cooper ธรรมดาก็ตาม (ในอดีต รุ่น Cooper ไม่มีเทอร์โบ มีเพียงรุ่น Cooper S เท่านั้น) เพิ่มพละกำลังให้กับ MINI ทุกรุ่น และเพิ่มอัตราการประหยัดพลังงานมากขึ้นกว่าเดิม ซึ่งรวมไปถึงการลดการปล่อยปริมาณก๊าซคาร์บอนไดอ๊อกไซด์และการสิ้นเปลืองพลังงานลงกว่าร้อยละ 27 เมื่อเทียบกับ MINI รุ่นก่อนหน้า
MINI เครื่องยนต์เบนซิน มีทั้งหมด 2 รุ่นคือ MINI Cooper ใช้เครื่องยนต์เทอร์โบ 1.5 ลิตร 3 สูบ ให้กำลังสูงสุด 136 แรงม้า กับรุ่น MINI Cooper S ใช้เครื่องยนต์เทอร์โบ 2.0 ลิตร 4 สูบ ให้กำลังสูงสุดที่ 192 แรงม้า
ส่วน MINI เครื่องยนต์ดีเซล ตอนนี้มีเพียงรุ่นเดียว คือ MINI Cooper D ใช้เครื่องยนต์เทอร์โบดีเซล 1.5 ลิตร 3 สูบ ให้กำลังสูงสุด 116 แรงม้า โดยมีแรงบิดสูงถึง 270 Nm ที่ 1,750rpm
Technical Specification
เครื่องยนต์ | (หน่วย) | มินิ คูเปอร์ | มินิ คูเปอร์ ดี | มินิ คูเปอร์ เอส |
จำนวนสูบ/จำนวนวาล์วต่อสูบ | 3/ 4 | 3/ 4 | 4/ 4 | |
ปริมาตรกระบอกสูบ | ซีซี | 1499 | 1496 | 1998 |
กำลังสูงสุด | กิโลวัตต์/แรงม้า | 100 / 136 | 85 / 116 | 141 / 192 |
ที่ความเร็วเครื่องยนต์ | รอบต่อนาที | 4500 – 6000 | 4000 | 4700 – 6000 |
แรงบิดสูงสุด (โอเวอร์บูสต์) | นิวตันเมตร | 220 (230) | 270 | 280 (300) |
ที่ความเร็วเครื่องยนต์ | รอบต่อนาที | 1250 – 4000 | 1750 | 1250 – 4750 |
อัตราเร่งจาก 0-100 กม.ต่อชม. | วินาที | 7.8 | 9.2 | 6.7 |
ความเร็วสูงสุด | กิโลเมตร/ชั่วโมง | 210 | 204 | 233 |
อัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงเฉลี่ย | กิโลเมตร/ลิตร | 20.8 | 26.3 | 18.5 |
ระดับการปล่อย CO2 | กรัม/กิโลเมตร | 112-109 | 99-98 | 125-122 |
ราคา (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) | 2,190,000 บาท | 2,440,000 บาท | 2,840,000 บาท |
นอกจากเทคโนโลยีเครื่องยนต์และชุดเกียร์อัตโนมัติที่ถูกออกแบบใหม่แล้ว ใน new MINI นี้ ยังมาพร้อมกับระบบตัดการทำงานของเครื่องยนต์อัตโนมัติเมื่อรถหยุดนิ่ง เช่น ในกรณีรถติด (ระบบ auto start/stop) เพื่อการประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงที่มากขึ้น โดยสามารถเลือกปิดระบบนี้ได้ เมื่อไม่ต้องการใช้
MINI Connected
MINI Connected หรือระบบความบันเทิงในรถยนต์ ที่สามารถเชื่อมต่อผ่านแอป MINI Connected ใน iPhone รวมถึง Android (ใช้ได้แล้ว แต่ยังเก่งไม่เท่าเวอร์ชั่นของ iPhone) ถูกติดตั้งมาให้ใน new MINI ทั้งสามรุ่นที่จำหน่ายในประเทศไทย โดยฟังก์ชั่นหลักนอกเหนือจากระบบความบันเทิงทั่วไปแล้ว ยังสามารถใช้ฟีเจอร์ที่เกี่ยวข้องกับการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต เช่น การสื่อสารผ่าน Facebook และ Twitter ผ่านหน้าจอในรถยนต์ หรือฟังก์ชั่น Dynamic Music ที่ปรับเปลี่ยนโทนช้า/เร็วของเพลง ตามความเร็วของรถได้ และในอนาคตจะมีแอปพลิเคชั่นใหม่ๆ ที่รองรับการใช้งานผ่าน MINI Connected นี้เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ที่เดี๋ยวผมจะนำ MINI Connected ใหม่นี้ มารีวิวให้ชมกันอย่างละเอียดอีกครั้งหนึ่งครับ
ทดลองขับจริง
สำหรับการทดสอบ new MINI ที่มินิ ประเทศไทยได้จัดให้สื่อมวลชนได้ทดสอบครั้งนี้ ได้จัดบนเส้นทางกรุงเทพฯ – ชะอำ ออกเดินทางจากโรงแรมฮิลตัน สุขุมวิท ไปยังโรงแรม Hotel de la Paix อ.ชะอำ จ.เพชรบุรี ใช้ระยะทางทดสอบประมาณ 180 กิโลเมตร โดยมีการแวะทำกิจกรรมที่ Black Mountain Waterpark ก่อนที่จะถึงจุดหมายที่ชะอำ และเปลี่ยนรุ่นรถ เพื่อขับกลับโรงแรมฮิลตัน สุขุมวิทในวันรุ่งขึ้น
รถ new MINI คันแรกที่ผมได้ขับออกจากโรงแรมฮิลตัน สุขุมวิท คือ MINI Cooper S หมายเลข 1 สี Blazing Red ซึ่งถือว่าเป็นรุ่นท้อปสุดที่มินิ ประเทศไทยได้นำเข้ามาจำหน่ายในบ้านเรา ณ เวลานี้ ทันทีที่ได้ขึ้นมานั่งอยู่ในรถ กลิ่นอายของความเป็น MINI ก็โดดเด่นขึ้นมาเตะประสาทสัมผัสทุกส่วนอีกครั้ง ไม่ว่าจะเป็น”กลิ่น”ที่เป็นเอกลักษณ์ของมินิ (ถ้าใครได้ขับมินิมาก่อน จะรู้จักกลิ่นนี้เป็นอย่างดี), ตำแหน่งที่นั่ง และลักษณะการปรับเบาะที่คุ้นเคย (รุ่นนี้ก็ยังคงไม่ใช้ระบบไฟฟ้าช่วยในการปรับเบาะนะครับ ใช้มือโยกเอาล้วนๆ) รวมถึงทัศนวิสัย ที่โดดเด่นมากๆ ในเรื่องของความโปร่ง มีมุมอับน้อย ตามสไตล์ของมินิดั้งเดิมทุกประการ และครั้งนี้ กระจกมองข้างได้มีการปรับขนาดให้ใหญ่ขึ้นกว่าเดิมอีก ให้ความรู้สึกเป็นมิตรมากขึ้น อุ่นใจมากขึ้นในการมองเห็นสิ่งต่างๆ รอบรถได้แบบไม่อึดอัด
อีกหนึ่งความรู้สึกหลังจากเข้ามานั่งในรถคือ มันใหญ่ขึ้นมาก ถึงแม้ว่าภายนอกจะดูไม่ใหญ่ขึ้นกว่าเดิมเท่าไรนัก แต่ภายในให้ความรู้สึกว่ามันกว้างขึ้นกว่า MINI รุ่นก่อนหน้าแบบรู้สึกได้ และยิ่งถ้าได้ไปลองนั่งเบาะหลัง ให้ความสบายกว่ารุ่นเดิมแบบเทียบกันไม่ติดเลยทีเดียวครับ
ผมได้ทำการปรับตำแหน่งที่นั่ง ปรับตำแหน่งพวงมาลัย และปรับกระจกต่างๆ จนเข้าที่เข้าทาง จากนั้นเอาเท้ากดแป้นเบรกค้างไว้ และเอื้อมมือไปกดปุ่มสตาร์ทรถสีแดงขนาดใหญ่ ที่ตอนนี้ได้ย้ายมาอยู่บริเวณแผงคอนโซลกลาง เครื่องยนต์ทวินพาวเวอร์เทอร์โบ ความจุ 2.0 ลิตร 4 สูบก็ได้ติดขึ้น แบบไม่ต้องเสียบกุญแจเข้าไปในแป้นอีกต่อไป (รุ่นนี้ไม่มีแป้นให้เสียบกุญแจแล้วนะ) และพร้อมที่จะพาเจ้ามินิโฉมใหม่ ในจิตวิญญาณดั้งเดิม หรือที่เรียกว่า The new Original ออกเดินทางไปยัง อ.ชะอำ ที่เป็นจุดหมายของเราในวันนั้น
ความแข็งกระด้างของช่วงล่าง F56 MINI Cooper S ตัวนี้ ถูกปรับให้มีความสบายกว่าเดิม หลังจากหลายคนบ่นถึงความแข็งของช่วงล่างมินิรุ่นก่อนๆ พอมาถึง F56 แล้ว กลับรู้สึกว่ามันนุ่ม นั่งสบายไปเลย ซึ่งค่อนข้างจะขัดใจแฟนๆ มินิพันธุ์แท้ไปบ้าง ที่ยังอยากได้รถที่มีช่วงล่างแข็งๆ กระแทกกระทั้น ให้อารมณ์สปอร์ต โกคาร์ตตลอดเวลา แต่ทันทีที่ได้ผลักวงแหวนรอบฐานเกียร์ให้เป็นโหมด Sport ความรู้สึกทุกอย่างที่อยากได้กับ MINI คันนี้ ก็กลับมาทันที ไม่ว่าจะเป็นช่วงล่างที่หนึบกว่า Mid Mode (โหมดมาตรฐานเมื่อสตาร์ทเครื่อง) อย่างเห็นได้ชัด เสียงเครื่องยนต์และเสียงท่อที่ดังคำรามกว่าเดิม รวมถึงน้ำหนักพวงมาลัยที่หนักขึ้น ชนิดที่เรียกได้ว่า โหมด Sport กับ โหมด Mid นี่แตกต่างกันชนิดที่รู้สึกว่าเป็นรถคนละคันกันไปเลย เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่ทาง MINI ได้จัดเอาระบบปรับโช้คแบบไฟฟ้ามาใช้ใน MINI Cooper S ทำให้สามารถปรับคาแรคเตอร์ของรถได้อย่างแตกต่างชัดเจนในแต่ละโหมด และพอนำมาใช้งานจริง ก็รู้สึกได้เลยว่า MINI ทำให้รถคันนี้กลายเป็นรถที่ตอบสนองชีวิตประจำวันได้ดีขึ้น เพราะไม่ใช่ทุกครั้งที่เราอยากจะขับในโหมดสปอร์ต ที่ถึงแม้จะสนุกกว่า แต่ก็สูญเสียความสบายในการเดินทาง การที่มีโหมดให้ปรับได้แบบนี้ก็ค่อนข้างตอบโจทย์ ส่วนอีกโหมดคือโหมด Green ที่อันนี้เน้นประหยัดน้ำมัน ชนิดไม่สนอัตราเร่ง ส่วนความสบายนั้นเท่ากับโหมด Mid เพียงแค่ปรับให้เครื่องยนต์มีอัตราการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงที่น้อยลง แต่ก็ต้องแลกกับพละกำลังที่สูญเสียไป
การตอบสนองของเครื่องยนต์ใหม่ ที่ทาง BMW ได้ตัดสินใจใช้เครื่องยนต์ของตัวเองกับรถ MINI เป็นครั้งแรก โดย MINI Cooper S ใหม่นี้ ใช้เครื่องยนต์รหัส B48 ความจุ 2.0 ลิตร 4 สูบ พร้อมเทคโนโลยี MINI TwinPower Turbo สร้างความประทับใจให้กับรถขนาดเล็กอย่าง MINI ได้แบบสุดกำลัง เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่ MINI เครื่องยนต์เบนซินได้รับขุมกำลังจากเครื่องยนต์ขนาด 2.0 ลิตร ให้แรงม้าสูงสุดถึง 192 แรงม้า นับว่าแรงที่สุดเท่าที่เคยมี Cooper S มา แรงเกินพอสำหรับการใช้งานทั่วไป และแรงสมใจขาซิ่ง ที่แทบจะไม่มีอะไรให้ติเลยกับพละกำลังที่ได้จากเครื่องยนต์ตัวนี้
อัตราเร่งของ MINI Cooper S ใหม่ ตามสเปคเคลมตัวเลข 0-100km/h เอาไว้ที่ 6.7 วินาที ซึ่งเร็วกว่า R56 Cooper S ถึง 0.5 วินาที ในขณะที่ตัวเลข top speed กระโดดขึ้นไปถึง 233 km/h แต่ให้อัตราการประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงที่ดีกว่าเดิม ต้องถือว่าเป็นเครื่องยนต์ที่ BMW ออกแบบมาได้เนี๊ยบมาก และเป็นเครื่องยนต์ที่ให้อารมณ์การขับขี่ที่สนุกอย่างมากเมื่อมาอยู่ในตัวถังที่มีคาแรคเตอร์ชัดเจนอย่าง MINI
ถึงแม้ว่าเส้นทางการทดสอบในทริปนี้ จะไม่มีโอกาสได้กดเข็มความเร็วขึ้นไปถึงขีดจำกัดของเครื่องยนต์ แต่การที่ได้ทดสอบบนถนนจริง ก็บอกอะไรได้เยอะมาก ทั้งการเร่งแซง ความเฉียบขาดของพวงมาลัยตามสไตล์มินิ ที่ให้ความคล่องตัวและความมั่นใจในการเปลี่ยนเลน การเข้าโค้งด้วยความเร็วที่สูงกว่าปกติ รวมถึงการส่งต่อความรู้สึกขึ้นมายังคนขับและคนนั่ง ที่ทำได้อย่างมีบาลานซ์ที่ดี ไม่ให้ความรู้สึกหวิวจนน่ากลัว แต่ก็ยังแฝงอารมณ์สปอร์ตนิดๆ ให้คนขับมีรู้สึกร่วมไปกับการขับขี่ ที่ยิ่งขับ ยิ่งเกิดอารมณ์สนุก กลายเป็นรถที่สามารถควบคุมอารมณ์ให้ขับช้าๆ หรือขับเรียบร้อยๆ ได้ยากอยู่เหมือนกัน (จริงๆ นะ!)
ช่วงล่าง การเกาะถนนของ new MINI F56 โดยเฉพาะในรุ่น MINI Cooper S นี้ให้ความมั่นใจอย่างมาก และดึงเอาคาแรคเตอร์ของ MINI ในฟีล Go-Kart กลับมาอีกครั้งในโหมด Sport โดยเฉพาะแฟนๆ MINI ที่ขับกันมาตั้งแต่เจเนอเรชั่นแรก (R50/R53) ที่น่าจะคิดถึงฟีลลิ่งดิบๆ แข็งกระด้างของ MINI และหาฟิลลิ่งนี้ไม่ได้จาก R56 ก็ต้องขอแนะนำให้กลับมาลองโหมด Sport ของ F56 กันใหม่อีกที ผมรับรองได้ว่ากลิ่นอายของความดิบใน R50/R53 นั้น ยังฟุ้งมาถึง F56 คันนี้ แต่ก็มาในแบบฉบับของรถยนต์ในยุคที่ใหม่ขึ้นนับสิบปี ที่มีเทคโนโลยีต่างๆ มาช่วยเยอะขึ้นอย่างมากแล้ว ส่วนในโหมดมาตรฐานหรือ Mid Mode นั้น เน้นหนักไปที่ความสบายของทั้งผู้ขับและผู้โดยสาร ถูกปรับให้ MINI เองมีความเอนกประสงค์ในการใช้งานแบบ everyday use มากขึ้น เดินทางในระยะไกลๆ ลงจากรถมาแล้วไม่รู้สึกเหนื่อยจากการนั่งหรือการขับเท่ากับรุ่นก่อนๆ
และนี่เป็นครั้งแรกที่รถ MINI สเปคที่จำหน่ายในไทย ได้รับฟีเจอร์ auto start/stop เครื่องยนต์ดับเองเมื่อรถติด (แต่แอร์ยังติดและเย็นอยู่เหมือนเดิมนะ) ซึ่งเท่าที่ลองใช้ดู หากเป็นการติดไฟแดงในเมือง ก็ได้ผลดีครับ การดับเครื่องและสตาร์ทใหม่ ทำได้อย่างราบเรียบ ไม่กระชากจนน่ารำคาญ แถมน่าจะช่วยเรื่องอัตราการประหยัดน้ำมันได้พอสมควร ในกรณีที่รถติดไฟแดงเป็นเวลานาน แต่ถ้าเป็นกรณีที่รถติดบนทางด่วน ค่อยๆ ไหล ค่อยๆ หยุด แบบนี้ไม่ค่อยเวิร์กแล้ว เพราะเครื่องยนต์จะดับและติดใหม่หลายครั้งมาก ถ้าอยู่ในกรณีนี้ก็สามารถกดปุ่มเพื่อปิดการทำงานของระบบ auto start/stop นี้ได้ ที่ปุ่มด้านซ้ายมือของปุ่มสตาร์ทรถ
ของเล่นที่ถูกใจผมมากที่สุดอันหนึ่งและน่าจะถูกใจคนที่กำลังมองหา new MINI รุ่นนี้ ก็คือวงแหวนไฟ LED บริเวณกึ่งกลางรถ ที่มีลูกเล่นแพรวพราวเหลือร้าย สามารถแสดงผลได้หลายสีปรับไปตามการใช้งานรถยนต์ในขณะนั้นๆ คือมีโหมดให้เราเลือกปรับได้เยอะมาก เช่น จะแสดงผลเป็นสี ambient ที่เราเลือก ติดค้างไว้ก็ได้ หรือจะให้มันปรับเปลี่ยนไปตามสถานะของรถยนต์ในขณะนั้นๆ ก็ได้ โดยสถานะที่ว่า ก็คือกรณีที่เราเอื้อมมือไปปรับอุณหภูมิแอร์ ไฟ LED ในวงแหวน ก็จะเปลี่ยนเป็นสีฟ้า/แดง ตามระดับอุณหภูมิที่เราจะปรับ หรือถ้าเราเข้าเกียร์ถอยหลัง วงแหวนก็จะเปลี่ยนเป็นสีเขียว/เหลือง/แดง ตามระยะห่างของวัตถุที่อยู่ท้ายรถ ซึ่งทำให้การใช้งานรถคันนี้ ดูมีสีสัน มีของเล่นที่ใช้เป็นฟังก์ชันการทำงานได้จริง ที่หาไม่ได้จากรถยี่ห้ออื่นๆ แน่นอน เป็นจุดที่ออกแบบมาแล้วเหมาะสมกับคาแรคเตอร์ที่สนุกสนานของแบรนด์มินิจริงๆ
ก่อนที่จะพูดถึงอัตราการสิ้นเปลืองน้ำมันของ MINI Cooper S ตัวใหม่ ต้องเรียนให้ทราบก่อนว่าการทดสอบทริปนี้เน้นไปที่การขับขี่ระยะไกล ไม่มีโอกาสได้ทดสอบกับสภาพจราจรติดขัด ตัวเลขจึงไปตกอยู่ในการใช้งานแบบ Extra Urban มากกว่าการใช้งานในเมือง โดยมีการความเร็วเฉลี่ยตลอดการเดินทางขาไป อยู่ที่ราว 75 km/h บวกกับมีการทดสอบอัตราเร่ง และใช้ความเร็วสูง (กว่าที่กฎหมายกำหนด) อยู่หลายช่วง อย่างไรก็ตาม แม้จะมีการทดสอบที่เอื้อในไปทิศทางที่สิ้นเปลืองกว่าการใช้งานปกติ ตัวเลขการสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงของ MINI Cooper S ใหม่คันนี้ยังคงน่าประทับใจ อยู่ที่ 13.4 km/l เลยทีเดียว (ถึงจะต่ำกว่าตัวเลขที่เคลมไว้ในใบสเปคพอสมควรก็ตาม)
วันรุ่งขึ้น ขากลับจาก Hotel de la Paix อ.ชะอำ มายังโรงแรมฮิลตัน สุขุมวิท กทม. ทางมินิ ประเทศไทย ได้ทำการเปลี่ยนรถ ให้ผมได้ทดสอบ new MINI Cooper D เครื่องยนต์ดีเซลดูบ้าง ซึ่งสเปคออปชั่นมาตรฐานของ MINI Cooper D (รวมถึง MINI Cooper เครื่องยนต์เบนซิน) จะเป็นออปชั่นต่ำกว่า MINI Cooper S ที่ถูกวางไว้เป็นรุ่นท้อปอยู่หลายจุด เช่นหน้าจอ MINI Connected ที่มีขนาดเล็กกว่า, เบาะผ้า, ไม่มีชุดเครื่องเสียง harman/kardon, ล้ออัลลอยด์ขนาดเล็กกว่า, ไฟหน้าไม่ใช่แบบ LED, ฯลฯ โดย MINI Cooper D เครื่องยนต์ดีเซลนี้ ใช้เครื่องยนต์ดีเซลใหม่จากทาง BMW เช่นเดียวกัน ในรหัส B37 เป็นเครื่องเทอร์โบดีเซลขนาด 1.5 ลิตร 3 สูบ ความแรง 116 แรงม้า แต่มีแรงบิดสูงถึง 270 Nm ตามสไตล์ของเครื่องยนต์ดีเซล
MINI Cooper D คันที่ผมได้ทดสอบ เป็น MINI Cooper D สี Volcanic Orange ส้มฉูดฉาด เป็นสีที่สะกดทุกสายตาอย่างมาก (แม้หลายคนมองว่าเป็นสีเหลือง) เสียงเครื่องยนต์ดีเซลได้ยินชัดเจนมากจากภายนอก แต่เมื่อนั่งอยู่ในรถ ก็ถือว่ามีการเก็บเสียงเครื่องยนต์ค่อนข้างดี ไม่รู้สึกถึงความสั่นสะเทือน หรือได้ยินเสียงของเครื่องดีเซลที่ชัดเจนมากนัก สิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปจากเครื่องยนต์ดีเซลในเจเนอเรชั่นก่อนหน้า คือการขยับเครื่องยนต์ให้มีขนาดเล็กลงเหลือ 1.5 ลิตร และมีเพียง 3 สูบเป็นครั้งแรก แต่จากตัวเลขที่ MINI เคลมไว้ เครื่องยนต์ B37 หรือเครื่องดีเซลใหม่ตัวนี้ (ที่มาพร้อมเทคโนโลยี MINI TwinPower Turbo) มีประสิทธิภาพที่ดีกว่าเครื่องยนต์ดีเซล 2.0 ลิตร 4 สูบ ตัวที่ใช้ใน R56 MINI Cooper D ในทุกมิติ ไม่ว่าจะเป็นแรงม้า, อัตราเร่ง, ความเร็วสูงสุด และโดยเฉพาะอย่างยิ่งอัตราการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ รวมถึงอัตราการสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิง ที่ทำได้ดีกว่าเดิมมากกว่า 25%
The new MINI Cooper D ถ้าดูจากตัวเลขสเปคแล้ว หลายคนอาจจะคิดว่า 116 แรงม้า ไม่น่าจะขับสนุกอะไรมากมายนัก หรือออกจะอืดด้วยซ้ำไป ถ้าได้มาลองขับแล้ว อาจจะต้องคิดใหม่ครับ เพราะมัน “เพียงพอ” เลย กับแทบทุกสถานการณ์ในชีวิตประจำวัน สามารถเร่งออกตัวได้ดั่งใจ จากอานิสงส์ของแรงบิดที่ค่อนข้างมาก ถึงแม้ว่าผมเองจะยังติดฟิลลิ่งความแรงสะใจจาก MINI Cooper S ที่ได้ทดลองไปวันก่อนหน้า แต่ Cooper D เองก็ไม่ได้ทำให้อึดอัด จะมีในย่านความเร็วสูงบ้าง ที่ไปทัดเทียมเครื่องยนต์เบนซินใน Cooper S ไม่ได้ แต่ถ้าคุยกันที่ย่านความเร็วต่ำ (ไม่เกิน 110 km/h) แล้ว ยืนยันได้ว่า Cooper D นี่ทำได้เพียงพอกับความต้องการแน่ๆ ครับ
สิ่งที่หายไปใน MINI Cooper D เมื่อเทียบกับ MINI Cooper S ก็คือระบบการควบคุมโช้คด้วยไฟฟ้า นั่นหมายความว่าใน MINI Cooper D จะไม่มีโหมด Sport/Mid/Green ให้เลือก สตาร์ทรถมา ฟิลลิ่งความสบายต่างๆ ก็จะเหมือนกับขับรถในโหมดมาตรฐาน (โหมด Mid) ของ Cooper S ตลอดเวลา แบบไม่สามารถปรับให้มันดิบๆ แข็งๆ หรือให้อารมณ์สปอร์ตได้แบบโหมด Sport ของ Cooper S
แต่สิ่งที่ได้กลับมาจาก MINI Cooper D แบบเต็มเม็ดเต็มหน่วยก็คือความประหยัด ของเครื่องยนต์ดีเซลใหม่ตัวนี้ ที่ทำได้อย่างดีจนน่าอัศจรรย์ ตัวเลขที่ผมทำได้จากการทดสอบครั้งนี้ (ที่รวมการทดสอบอัตราเร่ง และการใช้ความเร็วสูงกว่าปกติ) ยังทำได้ดีถึง 19.7 km/l ซึ่งคาดว่าถ้าเป็นการใช้งานปกติในเส้นทางนี้ ต่อให้ไม่ต้องตั้งใจขับให้ประหยัดอะไรมากมาย ก็น่าจะทำได้เกิน 20 km/l อย่างแน่นอน
น่าเสียดายที่การทดสอบครั้งนี้ ผมมีโอกาสได้ทดสอบเพียง 2 รุ่นเท่านั้น คือ MINI Cooper S และ Cooper D เลยยังไม่มีโอกาสได้ทดสอบ MINI Cooper เครื่องยนต์เบนซิน TwinPower Turbo 1.5 ลิตร 3 สูบตัวใหม่ ว่ารถ entry level ของไลน์อัป MINI ใหม่นี้ มีประสิทธิภาพเป็นอย่างไร โดยผมขออนุญาตติดไว้ก่อน และจะนำมารีวิวให้อ่านกันอีกครั้งเร็วๆ นี้ครับ
ข้อด้อยชัดเจนที่สุดของ new MINI เจเนอเรชั่นนี้ ยังคงเป็นข้อด้อยจุดเดิมจาก MINI เจเนอเรชั่นก่อนๆ (ราวกับได้รับมรดกตกทอดกันมา) ก็คือเรื่องของเสียงรบกวนในห้องโดยสาร ที่ไม่สามารถคาดหวังความเงียบสบายได้จากการเดินทางในรถคันนี้ ไม่ว่าจะเป็นเสียงลมปะทะจากด้านนอกเมื่อใช้ความเร็วถึงจุดหนึ่ง หรือเสียงกอกแกกภายในห้องโดยสารเอง ที่ MINI รักษามาตรฐานได้ดีมาอย่างยาวนาน มีทุกคัน และแต่ละคันดังจากคนละจุดกันชนิดงมหาไม่เจอว่า “ดังจากไหน” ซึ่งอาจจะทำให้เกิดความรำคาญบ้าง แต่ผมเองก็ได้พูดคุยกับแฟนๆ มินิพันธุ์แท้หลายท่าน ต่างทำใจกันได้หมดแล้วครับ ถือว่าเป็นอีกหนึ่งคาแรคเตอร์ของมันก็แล้วกัน
ส่งท้ายด้วยความพิเศษจากมินิ ประเทศไทย สำหรับรถ new MINI F56 ทุกรุ่นที่มินิ ประเทศไทยนำเข้ามาจำหน่ายผ่านตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ จะได้รับการรับประกัน MINI Service Inclusive หรือ MSI ยาวนานขึ้นกว่าเดิมเป็น 5 ปี / 50,000 km (ของเดิม MSI จะคุ้มครองแค่ 3 ปี / 50,000 km) ซ่อมบำรุงรักษาฟรีตลอดช่วงการรับประกันตามเงื่อนไขที่กำหนด ที่ศูนย์บริการอย่างเป็นทางการของมินิ ที่ตอนนี้มีทั้งมิลเลนเนียม ออโต้ สาขาเอกมัย, สาขาพระรามสี่, สาขาพระรามสาม, เยอรมัน ออโต้ สาขาบางนา และ สกาย ออโต้เฮ้าส์ จังหวัดขอนแก่น
สรุป
เป็นการกลับมาอย่างยิ่งใหญ่อีกครั้ง กับ Hatch 3 ประตู โฉมหลักของแบรนด์ MINI ที่เป็นเอกลักษณ์และเป็นโฉมที่ขายดีที่สุดตลอดกาล หลังจากพัฒนาต่อเนื่องมาถึงเจเนอเรชั่นที่ 3 ที่ฝั่งของ MINI เองก็ได้เรียนรู้จากเจเนอเรชั่นก่อนๆ อย่างมาก และได้ทำการบ้านมาดีมากๆ ในการคลอด F56 มาเป็น Hatch โฉมใหม่ ที่ถือว่ามีการปรับปรุงมากที่สุดเท่าที่เคยมีมา
สิ่งที่ต้องชื่นชมอย่างมากกับ F56 หรือ The new MINI รุ่นนี้ คือในส่วนของเครื่องยนต์ ทั้งเครื่องยนต์เบนซิน และ ดีเซล ที่มีการออกแบบมาใหม่ทั้งหมด และ BMW Group เองก็ลงทุนพัฒนาเครื่องยนต์ทุกตัวเพื่อใช้งานกับ MINI โดยเฉพาะ และผลจากความตั้งใจอย่างมาก ก็ได้มาแสดงให้เห็นว่าเครื่องยนต์ที่มาใส่กับตัวถังที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวอย่าง MINI นั้น แท้จริงมันควรจะเป็นอย่างไร โดยสิ่งที่น่าชื่นชมที่สุด คือการสร้างสมดุลระหว่างความสนุกสนานในการขับขี่ ร่วมกับความประหยัด ที่ครั้งนี้ MINI สามารถทำได้อย่างลงตัวที่สุดเท่าที่เคยมีมา
เรื่องน่าผิดหวังกับ new MINI F56 หนึ่งเรื่องที่ต้องพูดถึงคือ แท้จริงแล้ว new MINI รุ่นนี้ มาพร้อมกับเทคโนโลยีที่แพรวพราวกว่าที่คุณผู้อ่านได้อ่านจากรีวิวชิ้นนี้อีกมาก แต่สเปคที่นำเข้ามาจำหน่ายอย่างเป็นทางการในประเทศไทย มีความจำเป็นต้องตัดออปชั่นหลายตัวออก ด้วยเหตุผลทางด้านราคาขายเป็นหลัก เช่น ฟีเจอร์ช่วยจอดรถอัตโนมัติ (Park Assist), ระบบช่วยเบรกอัตโนมัติเมื่อเข้าใกล้วัตถุด้านหน้าและคนขับไม่ตอบสนองต่อแป้นเบรก (City Braking Function), ข้อมูล Speed Limit (ออปชันนี้ไม่รองรับในไทย), และที่น่าเสียดายที่สุดก็คือ Head-up Display หรือ HUD ที่ใน new MINI รุ่นนี้ออกแบบมาได้สวยงามมากๆ และผมว่าเป็นออปชั่นที่มินิ ประเทศไทยไม่ควรตัดออกที่สุด เพราะมันจะสามารถใช้งานร่วมกับระบบนำทาง GPS ที่ตอนนี้รองรับให้ใช้ในไทยได้อย่างดีมากๆ แถมนี่ยังไม่นับซันรูฟอีกนะ ที่ไม่มีมาให้เลยสักรุ่น
อย่างไรก็ตาม new MINI รุ่นนี้ ก็ยังถือว่าเป็น MINI รุ่นที่น่าใช้ที่สุด และ “ใช่” ที่สุด ตั้งแต่เคยมี MINI มาในประวัติศาสตร์ ถ้ามองจากรูปลักษณ์ภายนอกที่แบรนด์ MINI เองสามารถตกแต่งได้หลากหลายสไตล์ อยากจะดุดันหรือน่ารัก ก็ยังมีอุปกรณ์เสริม ชุดแต่งออกมาให้เลือกกันตลอด อาจจะเพียงพอสำหรับหลายคนที่อยากจะเลือกซื้อรถยนต์ยี่ห้อนี้ (เพราะ MINI เป็นรถยนต์ที่ใช้อารมณ์มากกว่าเหตุผลในการตัดสินใจซื้อมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว) แต่สำหรับหลายคนที่ยังตัดสินใจจากรูปลักษณ์ไม่ได้ เจ้า new MINI F56 รุ่นนี้ เป็น MINI รุ่นที่ผมอยากแนะนำให้ไปทดลองขับมากที่สุด เพราะมันจะเปลี่ยนความคิด เปลี่ยนทัศนคติที่มีกับรถ MINI ในใจหลายๆ คนไปได้เลย
บทความโดย
อู๋ @spin9
ขอขอบคุณ
มินิ ประเทศไทย
ภาพถ่าย
นก – ขวัญชัย เหลืองสถิตย์