รีวิว ทดลองขับจริง MINI LCI รุ่นปรับโฉมใหม่ เกียร์ใหม่ ไฟท้ายใหม่ สวยเร้าใจ

สวัสดีจากเกาะมายอร์กา ประเทศสเปนครับ วันนี้ผมพาแฟนๆ MINI-TH มาสัมผัสกับการปรับโฉมของ MINI Hatch (F56, F55) และ MINI Convertible (F57) พร้อมทดลองขับจริงกันก่อนที่มินิทั้งสามโมเดลนี้ จะเข้ามาจำหน่ายในบ้านเราเร็วๆ นี้ มาชมรายละเอียดทั้งหมดพร้อมกันเลยครับ

MINI ได้เปิดตัวมินิในเจเนอเรชั่นปัจจุบัน (F56) มาตั้งแต่ปี 2014 หรือเกือบ 4 ปีที่แล้วครับ มาถึงปีนี้ก็ถึงเวลาที่มินิจะทำการรีเฟรชรูปโฉมกันเล็กน้อย หรือที่มินิเรียกว่า LCI (Life Cycle Impulse) กับรถยนต์สามโมเดลของตัวเอง นั่นคือ MINI Hatch 3 ประตู, MINI Hatch 5 ประตู และ MINI Convertible โดยมีรายละเอียดการปรับปรุงแบ่งออกเป็นหลายส่วน ทั้งอุปกรณ์ตกแต่งภายนอก, ภายใน, สีตัวถัง, อุปกรณ์เสริมใหม่ๆ ไปจนถึงเครื่องยนต์ และเกียร์ใหม่

ต้องบอกว่า MINI ในโฉม Hatch ถือว่าเป็นหัวใจของรถยนต์มินิมาโดยตลอด ตั้งแต่รุ่นดั้งเดิมแล้วนะครับ ซึ่งมินิก็ยังคงเอกลักษณ์ของความเป็น “ออริจินัล” มาจนถึงรุ่นที่ปรับโฉม LCI ครั้งนี้ มีการปรับเปลี่ยนหน้าตาไม่มากนัก เพิ่มเติมเส้นสายของดีไซน์ความเป็นรถมินิ และตอกย้ำความเป็นสัญชาติอังกฤษมากขึ้น โดยเฉพาะไฟท้าย ที่มีการเปลี่ยนลวดลายเป็นธง Union Jack และเป็นส่วนที่โดดเด่นที่สุดในการปรับโฉม LCI ครั้งนี้ของมินิ

Exterior Refresh

ในส่วนของด้านหน้าตัวรถ แม้ว่าจะมีลักษณะของกระจังหน้ารูปทรงเดิม แต่ส่วนที่มีการปรับเปลี่ยน คือไฟหน้า ที่ได้ปรับมาเป็นไฟ LED แบบวงแหวนเต็มวง โดดเด่นตอนเปิด Daytime Running Light ที่เน้นเอกลักษณ์ของไฟหน้าทรงกลมของรถยนต์มินิได้เป็นอย่างดี

ไฟเลี้ยวในรุ่น LCI นี้ จะกระพริบเป็นวงแหวนเต็มวง ทดแทนตำแหน่งของไฟ Daytime Running Light เลยนะครับ เด่นมาก และแปลกตาสำหรับผู้พบเห็นเป็นครั้งแรก ผมเองก็ตกใจอยู่เหมือนกันที่ได้เห็นไฟเลี้ยวขึ้นมาเป็นวงแหวนเต็มๆ วงแบบนี้

ไฟหน้า LED ของมินิรุ่นใหม่ ยังมาพร้อมฟังก์ชั่นไฟ Matrix สำหรับไฟสูง ทำงานร่วมกับกล้องหน้ารถ สามารถตัดโซนเพื่อดับไฟสูงบางทิศทางได้เมื่อตรวจพบว่ามีรถขับสวนมา เพื่อความปลอดภัยของเพื่อนร่วมทาง และให้ความสว่างกับผู้ขับขี่ได้แม่นยำ ปลอดภัยมากขึ้น

จุดเด่นที่สุดของการปรับโฉมครั้งนี้ คือไฟท้าย LED ลวดลายธง Union Jack ครับ ที่ทางมินิบอกว่าเป็นความ “Very British” ของรถคันนี้ มีการแบ่งแถบเส้นสายของลาย Union Jack ออกเป็นหลายส่วน เช่นไฟเบรก จะเป็นเส้นแนวตั้ง, ไฟเลี้ยว ใช้เส้นแนวนอนกึ่งกลาง, ไฟท้ายตอนเปิดไฟหน้ารถ จะเป็นเส้นแนวทะแยง และ ไฟถอยจะถูกแยกลงมาเป็นเส้นแนวนอนด้านล่างสุด โดยรวมทำให้ด้านท้ายของ MINI LCI รอบนี้ เด่นสะดุดตาขึ้นมาก น่ารักมาก สวยขึ้นมาก

ด้านข้างตัวรถ ดูผิวเผินอาจจะเหมือนกับไม่มีอะไรใหม่เลยนะครับ แต่มินิก็ได้เพิ่มลูกเล่นของตัวเลือก Side Scuttles ที่ให้ผู้ใช้มินิสามารถออกแบบและสั่งซื้อลวดลายของตัวเองได้เป็นครั้งแรก สามารถสั่งพิมพ์ชื่อตัวเอง หรือใช้โลโก้ที่ตัวเองชื่นชอบ และส่งให้กับทางมินิขึ้นรูปด้วยเครื่องพิมพ์แบบ 3 มิติ (3D Printing) และส่งชิ้นส่วนกลับมาให้ลูกค้ามินิสามารถทำการเปลี่ยนด้วยตัวเอง เพิ่มความ personalize ให้กับรถมินิของลูกค้ามินิแต่ละคน

ชิ้นส่วนที่สามารถสั่งทำเป็นชื่อหรือลวดลายได้แบบ Custom ในมินิรุ่นปรับโฉมใหม่นี้ ประกอบไปด้วยกรอบไฟเลี้ยวด้านข้างหรือ Side Scuttles, คอนโซลด้านในตัวรถฝั่งผู้โดยสาร, กาบบันได และ ไฟโลโก้ที่ฉายลงมาด้านข้างตัวรถ สามารถเลือกสั่งซื้อแยกได้ทั้งหมด ตามที่ลูกค้าแต่ละคนต้องการครับ

ล้ออัลลอยในมินิรุ่นปรับโฉมใหม่นี้ มีล้อลายใหม่ๆ มาให้เลือกด้วยเช่นกัน ลายใหม่มีทั้งหมด 3 ลายนะครับ คือลาย Roulette Spoke 2-tone ขนาด 17 นิ้ว, ลาย Propeller Spoke 2-tone ขนาด 17 นิ้ว และ ลาย Rail Spoke 2-tone ขนาด 17 นิ้ว

ภายนอกตัวรถ มีออปชั่นให้เลือกตัดขอบสีดำ ด้วยแพ็กเกจ Piano Black Exterior ซึ่งจะประกอบไปด้วยคิ้วขอบไฟหน้า, คิ้วขอบกระจังหน้า, มือจับฝากระโปรงท้าย และ คิ้วขอบไฟท้าย โดยจะใช้ขอบสีดำเงาแบบ high-gloss แทนที่ขอบโครเมียม เพิ่มความดุดันให้กับมินิได้ตามความชื่นชอบของแต่ละคน

อีกส่วนที่หลายคนอาจจะไม่ทันได้สังเกต คือส่วนของโลโก้มินิทั้ง 5 ตำแหน่ง (หน้ารถ, ท้ายรถ, โลโก้บนพวงมาลัย, โลโก้บนกุญแจรีโมท และ ไฟโลโก้ที่ฉายลงพื้น) ได้มีการปรับเปลี่ยนมาเป็นโลโก้มินิแบบใหม่ ที่เป็นโลโก้ 2 มิติแล้ว มีความเรียบง่ายกว่าแบบเดิม และดูสะอาดตามากขึ้นกว่าเดิม ตามแนวทางของแบรนด์มินิที่ได้ปรับเปลี่ยนการสื่อสารมาใช้โลโก้ใหม่ได้สักระยะหนึ่งแล้ว แต่นี่คือครั้งแรกที่มินิได้เลือกใช้แบดจ์โลโก้ใหม่ในรถยนต์ของมินิ

นอกจากนี้ สีตัวถังของมินิ ได้รับการเพิ่มเข้าไปอีก 3 สีใหม่ ประกอบไปด้วยสีน้ำเงิน Starlight Blue, สีเทา Emerald Grey และ สีส้ม Solaris Orange

ความสวยงามอีกอย่างของมินิในรุ่นปรับโฉมใหม่นี้ คือยามค่ำคืนครับ ที่เป็นครั้งแรกในมินิโฉม Hatch กับ Convertible ที่มีการเล่นกับหลอดไฟ และแผงอุปกรณ์เรืองแสงต่างๆ เช่นโลโก้มินิ ที่จะฉายลงมาฝั่งคนขับ เมื่อเราทำการปลดล็อกรถยนต์

Interior Refresh

ข้ามมาดูภายในตัวรถกันบ้างครับ แม้จะดูผิวเผินแล้ว เหมือนจะมีการเปลี่ยนแปลงไม่เยอะ แต่แท้จริงแล้วมินิก็แอบปรับปรุงหลายส่วนอยู่เหมือนกันนะครับ รายละเอียดตามนี้เลย

เบาะหนัง มีการเพิ่มตัวเลือกของเบาะหนังในชื่อลาย Chester Leather และมีสีน้ำตาลโทนใหม่ในชื่อสี Malt Brown สวยงาม และให้ความรู้สึกที่พรีเมียมเข้ากับตัวรถที่มีการรีเฟรชใหม่ได้เป็นอย่างดี

MINI Yours Interior ได้เพิ่มตัวเลือกของไฟสะท้อนแสง Illuminated Light บริเวณฝาคอนโซลฝั่งผู้โดยสาร เป็นลายธง Union Jack สีสันต่างๆ ตามที่เราสามารถกดปรับเปลี่ยนสีได้จากปุ่มเปลี่ยนสีไฟ Ambient Light อันนี้ของจริงสวยมากๆๆ ครับ

แผงไฟ Illuminated Light ที่สามารถปรับเปลี่ยนสี ตามสีของ Ambient Light ได้นี้ จะโดดเด่นมากในเวลากลางคืน เล่นกันเพลินเลยล่ะ

ส่วนของหน้าจอความบันเทิง ตอนนี้มีออปชั่นของหน้าจอทัชสกรีนมาสำหรับมินิ LCI ทุกรุ่นแล้วนะครับ จากเดิมที่อยู่ใน MINI Clubman กับ Countryman เท่านั้น

หน้าปัดแบบเข็ม ตอนนี้ได้รับการปรับปรุงส่วนของระดับน้ำมันให้เป็นแบบใหม่ (แบบเดียวกับที่ปรับปรุงใน Countryman ไปก่อนหน้านี้)

ช่องเสียบชาร์จไฟ มีช่องเสียบ USB เพิ่มมาเป็น 2 ช่องแล้วในรุ่นนี้ 😉

ปุ่มปรับโหมด SPORT / MID / GREEN ถูกย้ายจากวงแหวนรอบฐานเกียร์ มาอยู่ที่สวิตช์ขวาสุดของแผงคอนโซลกลาง

และครั้งแรกของ MINI ที่มีแท่นชาร์จโทรศัพท์แบบไร้สาย (Wireless Charging) มาให้บริเวณกล่องด้านในที่พักแขน เราสามารถวางมือถือรุ่นที่รอวงรับระบบการชาร์จไร้สาย เข้าไปบนแท่นเพื่อชาร์จได้เลยทันที

Engine Refresh

ในส่วนของเครื่องยนต์บ้างครับ สิ่งที่มีการอัปเกรดใหญ่ในการปรับโฉม LCI รอบนี้ คือเรื่องของเกียร์อัตโนมัติ ที่ถูกเปลี่ยนมาใช้เกียร์อัตโนมัติแบบคลัตช์คู่ (Dual Clutch Transmission; DCT) 7 สปีด เป็นครั้งแรก สำหรับรุ่น MINI One, MINI Cooper, MINI Cooper S และ MINI Cooper D ครับ ข้อดีที่จะเห็นได้อย่างชัดเจนในเกียร์ DCT คือจังหวะเปลี่ยนเกียร์จะทำได้เร็วขึ้นมาก และไหลลื่นขึ้นมาก แถมยังมีอัตราการประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงที่มากขึ้นกว่าเดิมด้วย โดยทางมินิเคลมว่า มินิรุ่นปรับโฉมใหม่ จะประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงได้มากกว่าเดิมถึง 5%

แน่นอนว่า พอเป็นเกียร์อัตโนมัติแบบใหม่ ก็เลยต้องมาพร้อมกับหน้าตาของคันเกียร์แบบใหม่ด้วย ตอนนี้เป็นคันเกียร์ไฟฟ้าแล้วครับ (คล้ายกับของ BMW) ที่ต้องสังเกตไฟบนหัวเกียร์ หรือหน้าจอแสดงสถานะ ว่าเกียร์อยู่ที่ตำแหน่งใด

Drive!

ถึงเวลาไปทดลองขับกันแล้วครับ วันนี้ทางมินิได้เตรียมรถให้ผมเอาไว้ 2 รุ่น คือ MINI Hatch 3 ประตู (F56 LCI) สีส้ม Solaris Red และ MINI Convertible เปิดประทุน (F57 LCI) สีน้ำเงิน Starlight Blue โดยทั้งสองรุ่น เป็น Cooper S เครื่องยนต์ทวินพาวเวอร์เทอร์โบ เบนซิน 4 สูบ 2.0 ลิตร ให้ความแรงสูงสุด 192 แรงม้าครับ

ทั้งสองคัน ทางมินิได้ใส่ออปชั่น Piano Black Exterior มาด้วย ตัดขอบไฟหน้า ไฟท้าย และกระจังหน้าด้วยคิ้วสีดำเงา แทนที่คิ้วโครเมียม ดุดัน และสวยงามขึ้น แถมไฟหน้าและไฟท้ายแบบใหม่ที่มาพร้อมกับ LCI รอบนี้ ยิ่งทำให้ตัวรถโดยรวมดูลงตัว ดูสดใหม่ น่ามอง น่าขับ

ผมเริ่มจาก MINI Cooper S ในโฉมของ Hatch 3 ประตูก่อนครับ คันนี้น่าเสียดายนิดนึงที่มินิได้เตรียมเป็นรุ่นเกียร์ธรรมดามาให้ (ซึ่งไม่นำเข้ามาขายในไทยนะครับ รุ่นที่ขายในไทย จะเป็นเกียร์ออโต้คลัตช์คู่ 7 สปีด ทั้งหมด) เนื่องจากในยุโรป ยังมีตลาดของเกียร์ธรรมดาอยู่ค่อนข้างมากครับ ผมเริ่มออกเดินทางจากจุดรับรถที่สนามบิน Palma de Mallorca Airport ด้วยฟิลลิ่งที่คุ้นเคยจากรถมินิแฮตช์ในโฉมของ F56 ซึ่งจากที่นั่งคนขับแล้ว บอกตามตรงเลยว่า แทบจะไม่มีความรู้สึกแตกต่างจากรุ่นก่อน LCI เลยล่ะครับ ทั้งขนาด ตำแหน่งที่นั่ง และหน้าตาของหน้าปัด แผงควบคุมต่างๆ คล้ายกับของเดิมอย่างมาก

MINI Hatch ยังถือว่าเป็นมินิโฉมที่ปราดเปรียวที่สุด ขับสนุกที่สุด และมีบาลานซ์ในการขับที่สมบูรณ์แบบที่สุดในบรรดามินิทุกรูปโฉมครับ โดยในรุ่น LCI นี้ สิ่งที่ทำให้รู้สึกแตกต่างจากรุ่นเดิมแบบสังเกตได้ คือช่วงล่างที่เซ็ตมาแข็งขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย เพิ่มความสนุกในการขับขี่มากขึ้น แม้จะอยู่ในโหมด MID ที่มีคอมเมนต์จากบรรดาแฟนๆ มินิ ว่าช่วงล่างนุ่มนวลเกินไปในรุ่นก่อนหน้า

การเข้าโค้ง และพวงมาลัยของมินิ ยังมีความเฉียบคมอย่างมากครับ ตลอดเส้นทางการขับขี่บนเกาะมายอร์กา ที่มีทั้งความคดเคี้ยวของทางลาดชันบนเขา และถนนที่แคบกว่าปกติในเขตเมือง ให้ความสนุกจนสามารถรับรู้ได้ว่า เราไม่สามารถหาฟิลลิ่งแบบนี้ได้จากรถยี่ห้ออื่นๆ ในตลาดปัจจุบันอีกแล้ว ซึ่งนี่แหละ คือคาแรคเตอร์ที่แท้จริงของมินิ ที่มีมาตลอดในทุกเจเนอเรชั่นของรูปโฉม Hatch อันดั้งเดิมของแบรนด์

เสน่ห์ของมินิ ในโฉม Hatch คือ คาแรคเตอร์ที่เด่นชัดของการขับขี่อย่างคล่องตัว ช่วงล่างที่กระด้างเล็กน้อย พวงมาลัยที่มีน้ำหนัก ไม่เบาจนเกินไป ให้คนขับได้รับรู้ถึงความเป็นโกคาร์ตฟิลลิ่ง และเกาะถนนอย่างมาก เป็นรถที่ขับสนุก (แต่คนนั่งอาจจะไม่สบาย) โดยเฉพาะเมื่อปรับเข้าสู่โหมดสปอร์ต ก็ยิ่งเพิ่มความกระแทกกระทั้นได้อย่างที่มินิควรจะเป็น

ผมสลับมาขับ MINI Convertible เปิดประทุนบ้าง ซึ่งเป็นเครื่องยนต์ Cooper S ทวินพาวเวอร์เทอร์โบ 4 สูบ 2.0 ลิตร 192 แรงม้าเช่นกัน แต่คันนี้เป็นเกียร์อัตโนมัติแบบใหม่ ซึ่งเป็นครั้งแรกที่มินิเลือกใช้เกียร์ Dual Clutch Transmission 7 สปีดครับ มาพร้อมหัวเกียร์แบบใหม่ และมินิเคลมว่า เกียร์ DCT พร้อมชุดเครื่องยนต์ในการ LCI รอบนี้ จะช่วยให้มีอัตราการประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงมากขึ้นราวๆ 5%

เป็นไปตามความคาดหมาย คือ MINI Cooper S ที่สวมเกียร์ออโต้แบบคลัตช์คู่เข้าไป มีการชิฟต์เกียร์ที่ราบรื่นกว่าเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีดเดิม ชนิดที่เราไม่สามารถรับรู้ได้เลยว่ารถได้ทำการเปลี่ยนเกียร์ให้เราแล้ว จังหวะเปลี่ยนเกียร์นิ่งเรียบ และรวดเร็ว หากใช้ความเร็วปกติ และขับขี่แบบปกติ รถยนต์จะรักษารอบเครื่องยนต์ให้ต่ำอยู่เสมอ และนำพาเราไปใช้เกียร์สูงๆ ได้อย่างรวดเร็วมาก (ซึ่งอาจจะไม่สะใจคนที่ชอบฟิลลิ่งให้รับรู้จังหวะเปลี่ยนเกียร์แบบกระชากนิดๆ ครับ เพราะมันราบเรียบมาก)

ในขณะเดียวกัน ถ้าอยู่ในโหมดสปอร์ต หรือมีการขับซิ่งมากขึ้น เกียร์ DCT ชุดนี้ จะยิ่งตอบสนองได้อย่างออกรสออกชาติครับ จังหวะคิกดาวน์จากเกียร์ 5 ลงเกียร์ 3 หรือจากเกียร์ 6 ลงเกียร์ 4 นี่ทำได้รวดเร็วอย่างมาก จังหวะการเร่งแซงเฉียบขาดมากขึ้น แม้จะเป็นเครื่องยนต์ที่มีเรตติ้งความแรงเท่าเดิมก็ตาม

MINI Convertible พอได้มาเจออากาศเย็นสบาย กับแดดดีๆ ของมายอร์กา นี่ทำให้เราขับรถแบบเปิดประทุน ชนิด Always Open กันได้ตลอดแทบจะทั้งวันเลยครับ บวกกับรถที่ขับสนุกแบบนี้ และวิวที่สวยงามแบบนี้ ขับฟิน และชิลกันตลอดเส้นทาง

ใน MINI เปิดประทุน หรือรุ่น Convertible คันนี้ ผมยังรับรู้ถึงความกระด้างของช่วงล่างได้อย่างชัดเจนเช่นกันครับ และยืนยันได้เลยว่า ในรุ่น LCI นี้มีการปรับปรุงให้ช่วงล่างมีความแข็งขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย ซึ่งเป็นผลดีที่ย่านความเร็วสูง บวกกับน้ำหนักของพวงมาลัยที่ต้องออกแรงนิดๆ ทำให้ขับซิ่งได้อย่างมั่นใจทุกโค้ง คนที่ชอบขับรถ และรับรู้ฟิลลิ่งของรถ จะชื่นชอบมากขึ้นแน่ๆ ส่วนในย่านความเร็วต่ำ อาจจะรู้สึกกระด้างอยู่พอสมควร พอเริ่มขับไกลๆ หรือเจอถนนไม่เรียบอยู่เป็นระยะ ก็มีเมื่อยกันบ้างล่ะครับ แต่ต้องไม่ลืมว่านี่มันคือรถมินิ ใครจะคาดหวังให้มันนุ่มสบายเหมือนซีรีส์เจ็ดกันล่ะ…

สรุป

แม้ว่าจะเป็นการปรับโฉม LCI ครั้งที่เปลี่ยนแปลงน้อยสุดในบรรดาการปรับโฉมของมินิทุกครั้งที่ผ่านมา แต่การเลือกที่จะปรับเปลี่ยนไฟหน้า และไฟท้ายให้มีเอกลักษณ์โดดเด่นขนาดนี้ ก็ทำให้โฉม F56, F55 และ F57 มีความสดใหม่ขึ้นมาได้อีกครั้ง บวกกับได้ชุดเกียร์อัตโนมัติแบบ Dual Clutch ในแทบจะทุกรุ่นเครื่องยนต์ และลูกเล่นของออปชั่นใหม่ๆ ที่มีมาให้ลูกค้ามินิเลือกเป็นครั้งแรกในโฉมของ Hatch และ Convertible

มินิให้ความสำคัญกับการ personalize หรือตกแต่งตามสไตล์ของลูกค้าแต่ละคนเป็นอย่างมากครับ และใน MINI LCI นี้ก็เป็นครั้งแรกที่มินิเปิดให้ลูกค้าแต่ละคนสามารถสั่งชิ้นส่วนของอุปกรณ์เสริม พิมพ์มาเป็นชื่อของตัวเองได้ ไม่ว่าจะเป็นแถบ Side Scuttles ด้านข้างตัวรถ, กาบบันได, ลายของไฟที่ฉายลงบนพื้น หรือแผงคอนโซลหน้าฝั่งผู้โดยสาร ด้วยเทคโนโลยี 3D Printing ที่ BMW Group ได้ขยายการลงทุนมาทำโรงงานสำหรับผลิตชิ้นส่วนเหล่านี้โดยเฉพาะ

การขับขี่โดยรวมของ MINI LCI ยังคงคาแรคเตอร์ความสนุกในสไตล์มินิได้อย่างเหนียวแน่นครับ เกียร์ออโต้แบบ Dual Clutch ที่ปรับปรุงเข้ามา ช่วยให้การเปลี่ยนเกียร์ราบรื่นมากขึ้น และประหยัดน้ำมันมากขึ้นกว่ารุ่นเดิม บวกกับการเซ็ตช่วงล่างที่กระด้างกว่ารุ่นเดิมเล็กน้อย ให้ประสบการณ์ในการขับมินิที่แฟนมินิจะชื่นชอบอยู่เหมือนเดิม (และคนนั่งจะยังบ่นถึงความกระด้างอยู่เหมือนเดิม) นี่แหละครับ จิตวิญญาณการขับขี่ในสไตล์มินิ ที่พร้อมจะออกไป Explore More Corners กันทุกวัน

MINI LCI ทั้งสามรุ่นย่อย (Hatch 3 ประตู, Hatch 5 ประตู และ Convertible) จะนำเข้ามาจำหน่ายในประเทศไทยเร็วๆ นี้ครับ ส่วนออปชั่นแต่ละรุ่นจะเป็นอย่างไร เปิดราคาเท่าไหร่ และเริ่มวางขายในช่วงไหน ผมจะรายงานให้คุณผู้อ่านผ่านทาง MINI-TH ของเราอีกครั้ง

พบกันใหม่รีวิวหน้า สวัสดีครับ

บทความโดย:
อู๋ spin9

ขอขอบคุณ:
มินิ ประเทศไทย

Comments: