วันนี้ผมมีเรื่องราวพิเศษมาฝากแฟนๆ มินิในไทยอีกครั้งครับ เมื่อทางมินิ ประเทศไทยได้เทียบเชิญให้เว็บ MINI-TH ของเราไปร่วมกิจกรรมเปิดตัวรถยนต์ MINI Hatch 5 ประตู หรือในชื่ออย่างเป็นทางการว่า “MINI 5 door” ที่ประเทศอังกฤษ และเป็นสื่อมวลชนกลุ่มแรกๆ ในโลกที่ได้มีโอกาสทดลองขับเจ้า MINI 5 door กันที่นั่นเลย จึงขอนำมาเล่าสู่กันฟังให้แฟนๆ มินิในไทยได้ร่วมสัมผัสบรรยากาศ และร่วมทดสอบสมาชิกใหม่ล่าสุดของครอบครัวมินิอย่าง MINI 5 door รุ่นนี้ไปพร้อมกันเลยครับ
เมื่อช่วงต้นเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ทางมินิ ประเทศไทยได้ส่งข่าวถึงเราว่า ระหว่างวันที่ 19-20 กันยายน เราจะไปขับ MINI Hatch 5 ประตู ที่ประเทศอังกฤษกัน ผมเองก็ไม่รอช้า รีบเคลียร์ตารางล่วงหน้า และตอบรับคำเชิญสุดพิเศษนี้ด้วยความตื่นเต้น ซึ่งก็ไม่ผิดหวังเลยจริงๆ ครับ แม้ว่าจะเป็นการเดินทางที่ยาวนาน โดยไปใช้เวลาในประเทศอังกฤษเพียง 2 วัน แต่เป็นทริปที่คุ้มค่าอย่างมาก และสิ่งที่คุณผู้อ่านกำลังจะได้อ่านนี้ เป็นข้อมูลทั้งหมดที่ผมรวบรวมจากสิ่งทีได้ประสบพบเจอจากการที่อยู่กับเจ้า MINI 5 door ตลอด 48 ชั่วโมงในประเทศอังกฤษครับ
The new MINI 5 door
MINI Hatch 5 ประตู หรือในชื่ออย่างเป็นทางการที่แสนจะตรงตัวว่า “MINI 5 door” เป็นผลิตผลล่าสุดจากทาง MINI ที่ต้องการขยายตลาดรถยนต์ Hatchback ของตัวเอง ไปยังตลาดที่กว้างขึ้น แตกไลน์มาเป็นรถยนต์ Hatch 5 ประตูรุ่นแรกของแบรนด์ โดย MINI 5 door มีพื้นฐานมาจาก MINI Hatch 3 ประตู (F56) ที่เปิดตัวไปเมื่อปลายปี 2013 ที่ผ่านมา และเพิ่งจะเข้าสู่ตลาด วางจำหน่ายอย่างจริงจังได้เพียงไม่กี่เดือน ด้วยแนวคิดที่ต้องการให้รถยนต์มินิ มีความเอนกประสงค์ขึ้น เพิ่มความสะดวกสบายมากขึ้นสำหรับผู้โดยสารแถวหลัง โดยไม่ละทิ้งคาแรคเตอร์ความเป็น Hot Hatch ของรูปทรงตัวถังที่เป็นเอกลักษณ์มาอย่างยาวนานของแบรนด์ ซึ่งเป็นหนึ่งในส่วนผสมที่กลั่นออกมาได้อย่างลงตัวของทีมดีไซน์ แม้ว่าโจทย์นี้จะไม่ใช่โจทย์ที่ง่ายเลย (ถ้าว่ากันด้วยเหตุผลด้านธุรกิจ ตลาดรถยนต์ Hatch ทั่วโลก เป็น 5 ประตูมากกว่า 3 ประตู ถึงกว่าเท่าตัว จึงไม่แปลกที่ MINI จะสนใจตลาดนี้ แม้จะขัดต่อเอกลักษณ์ที่แข็งแรงของแบรนด์ไปบ้าง)
MINI 5 door มาในรหัส F55 โดยได้เอารถ MINI Hatch 3 ประตูมาขยายความยาวฐานล้อเพิ่มขึ้น 72 มิลลิเมตร ซึ่งความยาวฐานล้อที่เพิ่มขึ้นนี้ นำไปเพิ่มให้กับพื้นที่วางขา (legroom) ของผู้โดยสารแถวหลังเป็นส่วนมาก ความยาวโดยรวมของตัวรถเพิ่มขึ้น 161 มิลลิเมตร ส่งผลให้มีพื้นที่เก็บสัมภาระบริเวณฝากระโปรงท้ายใหญ่ขึ้น 67 ลิตร (จากเดิม 211 ลิตร มากขึ้นเป็น 278 ลิตร) และมีความสูงหลังคาโดยรวมเพิ่มขึ้นอีก 11 มิลลิเมตร เพื่อให้ผู้โดยสารแถวหลังไม่รู้สึกอึดอัดมากนัก
ส่วนของเครื่องยนต์ใน MINI 5 door จะยังคงมีตัวเลือกที่เหมือนกับใน MINI Hatch 3 ประตู (F56) ทุกประการ โดยมีสเปคเครื่องยนต์เดียวกัน ใช้อะไหล่เครื่องยนต์และระบบส่งกำลังร่วมกันทั้งหมด ซึ่งวิศวกรของ MINI ได้ให้ข้อมูลว่า “ทุกอย่างเหมือนเดิม ยกเว้นท่อไอเสียที่ยาวขึ้นตามความยาวตัวถังเพียงเล็กน้อย” และคาดหวังให้มีฟิลลิ่งในการขับขี่ที่ใกล้เคียงกับที่อยู่ใน Hatch 3 ประตูให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ครับ หากท่านผู้อ่านท่านใดยังไม่ได้อ่านรีวิว MINI Hatch 3 ประตูของเรา ผมขอแนะนำให้ไปอ่านก่อน >>ที่นี่<<
การทดสอบ MINI 5 door ครั้งนี้ ผมจึงไม่ขอเล่าฟีเจอร์ต่างๆ ที่ซ้ำซ้อนกับส่วนที่เคยรีวิวให้ชมไปแล้วใน F56 นะครับ เพราะรายละเอียดหลายส่วนมีความเหมือนกับ F56 ทุกประการ แต่จะขอเน้นในส่วนที่มีความแตกต่างกันให้คุณผู้อ่านเป็นข้อมูลในการตัดสินใจ ระหว่างมินิทั้งสองโมเดลนี้ ซึ่งยืนยันได้ว่า MINI มีเหตุผลอันแข็งแรงในการขยายไลน์การผลิต Hatch 5 ประตูเพิ่มเติมขึ้นมาอีกหนึ่งโมเดลครับ
สิ่งที่น่าโฟกัสมากที่สุดของ MINI 5 door ก็คือครึ่งหลังของรถยนต์คันนี้ครับ เพราะครึ่งหน้านั้นเรียกได้ว่าถอดแบบจาก F56 มาวางเลย ไม่มีส่วนที่แตกต่างกันแม้แต่นิดเดียว โดยทาง MINI ได้เพิ่มความยาวฐานล้อ, หั่นปีกประตูคู่หน้าออก ให้ตัดลงมาตรงๆ แทน, ใส่ประตูคู่หลังเข้าไป พร้อมยืดความสูงให้สูงขึ้นเล็กน้อย ออกมาเป็น MINI 5 door ที่มีความเอนกประสงค์มากขึ้น ในรูปลักษณ์มิติภายนอกที่ยังคงดูใกล้เคียงกับ Hatch 3 ประตูรุ่นเดิม
ส่วนที่แตกต่างมากที่สุดจุดหนึ่ง นอกเหนือจากที่มีประตูเพิ่มขึ้นมาอีก 2 บานแล้ว ก็คือประตูทั้ง 4 นั้น ถูกปรับให้เป็นประตูแบบมีกรอบ (กรอบค่อนข้างหนาด้วย) เหมือนกับที่เราเห็นใน MINI Countryman ครับ ด้วยเหตุผลด้านการออกแบบ และความแข็งแรงของตัวถังรถที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยโดยตรง ทำให้ภาพลักษณ์ของเจ้า MINI 5 ประตูตัวนี้ เมื่อเปิดประตูแล้วค่อนข้างสูญเสียความสปอร์ตไปบ้างเหมือนกัน รวมถึงมือจับประตูของประตูคู่หลัง ที่มินิเลือกใช้แบบเดียวกับที่เห็นในประตูคู่หน้าที่มีขนาดค่อนข้างใหญ่ ทำให้เรามองเห็นมือจับคู่นี้ได้อย่างชัดเจนเป็นอย่างมาก
เบาะนั่งด้านหลังของ MINI 5 door ถูกออกแบบใหม่ให้เป็นแบบ 3 ที่นั่ง พร้อมเข็มขัดนิรภัยและหมอนรองศีรษะครบทั้งสามตำแหน่ง ที่หลังจากได้ขึ้นไปลองนั่งดูแล้ว พบว่าตำแหน่งตรงกลางค่อนข้างจะมีข้อจำกัดมาก โดยเฉพาะบริเวณที่วางเท้า ที่เป็นตำแหน่งของเพลา และมีช่องวางแก้วมาคั่นอยู่ตรงกลาง รวมถึงบริเวณเบาะที่นั่งเองก็มีส่วนที่นูนขึ้นมา ไม่รองรับกับสรีระ โดยอาจต้องเลือกคนที่ตัวเล็กหน่อยมานั่งตรงกลางครับ ซึ่งแตกต่างจาก Countryman ที่มีความกว้างของตัวรถที่มากกว่า และออกแบบมารองรับกับตำแหน่งที่นั่งตรงกลางของแถวหลังได้ดีกว่า
MINI 5 door ยังมาพร้อมกับสีใหม่, ออปชั่นใหม่ และ ล้อลายใหม่ครับ โดยสีใหม่ที่เป็นสีมาตรฐาน และยังเป็นสีที่ใช้ในการโปรโมตด้วยก็คือสีฟ้า Electric Blue ซึ่งแฟนๆ มินิพันธุ์แท้จะรู้ทันทีว่า Electric Blue ไม่ใช่สีใหม่กริ๊บ เพราะทาง MINI เคยใช้สี Electric Blue มาแล้วกับ MINI Cooper S เจเนอเรชั่นแรก (R53) ระหว่างปี 2002-2006 แล้วก็ไม่มีการใช้ Electric Blue กับ MINI รุ่นไหนอีกเลย จนกระทั่งมาใช้กับ MINI 5 door รุ่นนี้ (และจากนี้จะมี Electric Blue ให้เลือกใน MINI Hatch 3 ประตูด้วย) ใครที่เคยขับ R53 สี Electric Blue มาก่อน ซึ่งเป็นสีฟ้าที่สวยมากใน MINI ต้องมีหวั่นไหวแน่ๆ ครับ
**เรื่องน่ารู้** ในตลาดสหรัฐอเมริกา จะเรียกรุ่นนี้อย่างเป็นทางการว่า MINI 4 door แทนที่จะเป็น MINI 5 door ครับ แต่สำหรับตลาดประเทศไทยเราอ้างอิงตามชื่อที่ใช้ในประเทศอังกฤษ เลยขอให้เข้าใจตรงกันว่ารุ่นนี้คือ MINI 5 door **
MINI Yours
ในการเปิดตัว MINI 5 door ครั้งนี้ ทาง MINI ยังเอาโปรแกรม MINI Yours มาแนะนำเพิ่มเติมด้วย ซึ่ง MINI Yours คือโปรแกรมการ custom รถยนต์ MINI ด้วยลวดลายการตกแต่งที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะผู้ขับขี่ ทั้งภายในและภายนอกตัวรถ ที่ MINI เองก็เคยแนะนำมาแล้วก่อนหน้านี้ แต่พอมาถึง MINI 5 door ทาง MINI เองก็ยังต่อยอดโปรแกรม MINI Yours ให้มีลูกเล่นที่น่าสนใจมากขึ้นไปอีก ไม่ว่าจะเป็นการทำสีตัวถังใหม่ของ MINI Yours เองเป็นครั้งแรก ในชื่อสี MINI Yours Lapisluxury Blue (ชื่อยากมาก) ซึ่งมินิเคลมว่าเป็นสีน้ำเงินที่เข้มที่สุดที่สามารถทำได้ (The Deepest Blue possible) พร้อมกับล้อ 18″ ลายใหม่ ในชื่อ MINI Yours Vanity Spoke 2-tone ตามที่เห็นในรูปด้านบน (ล้อลายนี้ของจริงสวยมาก!)
สำหรับภายในตัวรถ มีออปชั่นใหม่ของ MINI Yours ให้ได้เลือกตกแต่งกันหลายตัวครับ ทั้งเบาะที่นั่ง MINI Yours Sport Seat Lounge Leather, Carbon Black ที่มีลวดลายของธงสหราชอาณาจักร (Union Jack) อยู่ตามตะเข็บต่างๆ และบริเวณด้านหลังของหมอนรองศีรษะ, พวงมาลัย MINI Yours Sport Leather Steering Wheel ที่ใช้หนัง Walknappa สลับสี Piano Black ถักเย็บด้วยมือ พร้อมโลโก้ Union Jack สีดำบนก้านพวงมาลัย แถมท้ายด้วยลายคอนโซลลายใหม่ 3 ลาย คือ MINI Yours Dark Cottonwood, MINI Yours Off-White และ MINI Yours Fibre-Alloy
ออปชั่นใหม่อีก 1 รายการคือหลอดไฟใต้กรอบประตูรถครับ ที่สามารถฉายลงมาเป็นโลโก้ MINI บนพื้นได้ โดยจะมี 2 แบบให้เลือก คือโลโก้ MINI กับลายธง Union Jack (ออปชั่นนี้วางขายเดือนพฤศจิกายนนี้)
Technical Specifications
Cooper | Cooper D | Cooper S | Cooper SD | ||
Engine | |||||
Cylinders/layout/valves | 3/in-line/4 | 3/in-line/4 | 4/in-line/4 | 4/in-line/4 | |
Capacity | cm3 | 1499 | 1496 | 1998 | 1995 |
Stroke/bore | mm | 94.6/82 | 90/84 | 94.6/82 | 90/84 |
Max. output/ | hp (kW)/rpm | 136 (100)/ | 116 (85)/ | 192 (141)/ | 170 (125)/ |
max. revs | 4500-6000 | 4000 | 4700-6000 | 4000 | |
Max. torque/revs | Nm/rpm | 220/1250 | 270/1750 | 280/1250 | 360/1500 |
Compression ratio/ | :1 | 11/91-98 RON | 16.5/diesel | 11/91-98 RON | 16.5/diesel |
recommended fuel | |||||
Performance | |||||
Max. speed | km/h | 207 | 203 | 232 | 225 |
Acceleration 0-100 km/h | sec. | 8.2 | 9.4 | 6.9 | 7.4 |
Acceleration 80-120 km/h | sec. | 9.6 | 9.2 | 6.7 | 6.7 |
Fuel Consumption | |||||
Urban | l/100km | 6.1-5.9 | 4.5-4.4 | 7.9-7.7 | 5.1-5.0 |
Extra-urban | l/100km | 4.2-4.0 | 3.3-3.2 | 4.9-4.8 | 3.8-3.6 |
Combined | l/100km | 4.9-4.7 | 3.8-3.6 | 6.0-5.9 | 4.3-4.1 |
CO2 emissions | g/km | 114-109 | 99-95 | 140-136 | 113-109 |
(combined cycle) | |||||
Tank capacity, approx. | l | 40 | 44 | 44 | 44 |
Range | km | 850 | 1220 | 1228 | 1075 |
Weight/Luggage Capacity | |||||
Unladen weigh EU | kg | 1220 | 1265 | 1295 | 1305 |
Max. permitted weight | kg | 1670 | 1720 | 1750 | 1755 |
Max. permitted load | kg | 520 | 520 | 520 | 520 |
Max. permitted axle load | kg | 910/835 | 925/845 | 950/850 | 950/850 |
front/rear | |||||
Luggage capacity | l | 278 | 278 | 278 | 278 |
Wheels | |||||
Tyre dimensions, | 175/65 R 15 84H | 175/65 R 15 84H | 195/55 R 16 87W | 195/55 R 16 87W | |
front/rear | |||||
Wheel dimensions, | 5.5 J x 15 | 5.5 J x 15 | 6.5 J x 16 | 6.5 J x 16 | |
front/rear | light-alloy | light-alloy | light-alloy | light-alloy |
International Media Launch, Oxford, UK
ในโอกาสเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่นี้ MINI จึงได้เชิญสื่อมวลชนจากทั่วโลก เข้าร่วมกิจกรรมทดลองขับ MINI 5 door เป็นครั้งแรก ซึ่งจัดขึ้นที่ประเทศอังกฤษ บ้านเกิดของรถยนต์ MINI กว่า 3 ล้านคันทั่วโลก โดย MINI เลือกเมืองเล็กๆ ในแคว้น Oxfordshire อย่างเมือง Henley-on-Thames เป็นสถานที่จัดงานอย่างเก๋ไก๋ ทั้งโรงแรมที่พัก และเส้นทางทดสอบรถยนต์ ที่สื่อมวลชนจากทั่วโลกจะได้สัมผัสถึงความเป็นอังกฤษอย่างแท้จริง
MINI เพิ่มความเก๋ให้กับอีเวนต์ครั้งนี้ ด้วยการจัด Boat Shuttle สุดน่ารัก ให้กับสื่อมวลชนนั่งไปตามแม่น้ำ Thames เพื่อไปยัง Fawley Court สถานที่จัดงานซึ่งมีความเก่าแก่กว่า 300 ปี เรียกได้ว่าบิ้วต์บรรยากาศกันน่าดูน่าชมเลยทีเดียว และต้องบอกว่าโชคดีมากๆ ในช่วงที่ผมได้ไปร่วมงานครั้งนี้ เพราะสภาพอากาศเป็นใจ อุณหภูมิประมาณ 15-18 องศาเซลเซียส เย็นสบาย และไม่เจอฝนเลย
MINI ได้เตรียมรถยนต์ MINI 5 door ให้สื่อมวลชนได้ทดสอบทั้งหมด 2 รุ่น ประกอบด้วย MINI Cooper S 5 door สีแดง Blazing Red เครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตร 4 สูบ ทวินพาวเวอร์เทอร์โบ ตัวเดียวกับที่เปิดตัวไปใน F56 แล้ว และ MINI Cooper SD 5 door สี Electric Blue เครื่องยนต์ดีเซล 2.0 ลิตร 4 สูบ ซึ่งเป็นเครื่องยนต์ใหม่ ที่เพิ่งเปิดตัวไปก่อนหน้านี้ไม่นาน จึงเป็นโอกาสดีที่ในการทดสอบครั้งนี้ ผมได้ทดสอบทั้งในส่วนของ MINI Hatch 5 ประตู และในส่วนของพละกำลังของเครื่องยนต์ดีเซลใหม่อย่าง Cooper SD ด้วย
MINI Cooper S 5 door
รถยนต์คันแรกที่ผมได้ทำการทดสอบ คือ MINI Cooper S 5 door สีแดง Blazing Red เลขทะเบียน YJ64 UDT โดยทาง MINI ได้นัดแนะในการรับรถทดสอบเอาไว้ในเวลา 8:30 น. ของวันเสาร์ที่ 20 กันยายน 2014 ที่บริเวณล็อบบี้โรงแรม Hotel du Vin กับสภาพอากาศประมาณ 17 องศาเซลเซียส รายล้อมไปด้วยรถยนต์ MINI 5 door อีกนับสิบคัน ที่มีสื่อมวลชนจากประเทศต่างๆ ทะยอยมารับกุญแจรถเพื่อที่จะได้ออกไปทดสอบกันในวันนั้น
การเทสไดร์ฟที่ต่างประเทศนั้น ค่อนข้างจะแตกต่างจากกิจกรรมเทสไดรฟ์ในไทยอยู่พอสมควรครับ นั่นคือทาง MINI จะให้สื่อมวลชนวิ่งทดสอบรถในเส้นทางที่ชื่นชอบได้อย่างอิสระเลย มีเพียงเส้นทางแนะนำที่ระบุไว้เท่านั้น แต่จะไม่วิ่งตามเส้นทางก็ไม่ว่ากัน ขอเพียงแค่นำรถกลับมาคืนตรงตามเวลาก็พอ เป็นการเปิดโอกาสให้การทดสอบเป็นไปได้อย่างเต็มที่ ตามแต่มิติที่เราต้องการจะทดสอบ หรือจะไปหาโลเคชั่นสวยๆ เพื่อถ่ายรูปก็สามารถทำได้เช่นกัน โดยรถทดสอบทุกคัน มาพร้อมกับหน้าจอ MINI Connected XL ขนาด 8.8 นิ้ว พร้อมฟีเจอร์ Navigation System Professional ระบบนำทางเต็มรูปแบบ ที่ทาง MINI ได้เซฟโลเคชั่นสำคัญเอาไว้ (จุดคืนรถ, จุดพักทานอาหารกลางวัน, ฯลฯ) และยังมีสมุด Road Book มาให้อีก 1 เล่ม ให้อุ่นใจได้ว่า การขับทดสอบบนถนนที่สื่อมวลชนทั่วโลกไม่เคยได้ขับมาก่อนครั้งนี้ จะไม่หลงทางอย่างแน่นอน (แถมยังการันตีได้อีกว่า ถ้าขับตามเส้นทางที่กำหนดไว้ จะได้สัมผัสบรรยากาศท้องถนนที่สวยงามแบบสุดๆ ไปเลย)
ทันทีที่พร้อมออกเดินทางจากโรงแรม Hotel du Vin ผมและเพื่อนร่วมเดินทางอีกสองท่าน คือคุณ J!MMY แห่งเว็บ headlightmag และคุณกฤษฎา อุตตโมทย์ ผู้อำนวยการ ฝ่ายสื่อสารกิจการองค์กร บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ที่เดินทางไปร่วมทดสอบ MINI 5 door ด้วยกันในทริปนี้ ก็ได้ตั้งจุดหมายแรกเอาไว้ที่โรงงาน MINI Plant Oxford บ้านเกิดของ MINI ที่อยู่ห่างออกไปประมาณ 40 กิโลเมตร เพื่อที่เราจะได้ไปถ่ายรูป MINI Cooper S 5 door กันที่นั่น
MINI Cooper S 5 door ใช้ขุมพลังเครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตร 4 สูบ ทวินพาวเวอร์เทอร์โบในรหัส B48 ให้กำลังสูงสุด 192 แรงม้า สเปคเดียวกับ MINI Cooper S ในตัวถัง Hatch 3 ประตู (F56) ทุกประการ ตรงตามข้อมูลที่วิศวกรด้าน Powertrain ของทาง MINI ได้ให้ข้อมูลไว้ในคืนก่อนหน้านี้ พละกำลังที่ได้จากเครื่องยนต์ตัวนี้ เมื่อเทียบกับที่ขับใน MINI Hatch 3 ประตูนั้น ต้องบอกว่าไม่มีความรู้สึกที่ต่างกันแต่อย่างใด ถึงแม้ว่า MINI 5 door จะมีน้ำหนักที่มากกว่าเดิมอยู่ประมาณ 60kg และมีความยาวที่มากกว่าเดิมเล็กน้อยก็ตาม นั่นหมายความว่า เจ้า MINI 5 door คันนี้ ยังได้คาแรคเตอร์ความแรง พวงมาลัยที่เฉียบคม และการตอบสนองที่ฉับไวอยู่เหมือนเดิม
แต่ถ้าจะพูดถึงฟิลลิ่งที่ได้จากการขับขี่แล้ว มีสองสิ่งที่สำคัญและแตกต่างอย่างค่อนข้างชัด คือเรื่องของทัศนวิสัยในโซนด้านหลังของตัวรถ โดยเฉพาะอย่างยิ่งขณะกลับรถ ที่ทัศนวิสัยมีความโปร่งมากขึ้น มองเห็นได้ง่ายและชัดเจน จากอานิสงส์ของจำนวนกระจกที่มากขึ้น และตัวรถที่เป็นทรง Hatch แบบเดิม แต่ยาวขึ้นเล็กน้อย กับอีกเรื่องที่สำคัญคือเรื่องของเสียงรบกวนจากภายนอก ที่ค่อนข้างเงียบกว่า F56 (แต่ก็ยังดังกว่ารถบ้านทั่วไปอยู่ดีตามสไตล์มินิ) คาดว่าเหตุผลที่ทำให้ F55 ตัวนี้มีเสียงรบกวนจากภายนอกที่น้อยลง น่าจะมาจากประตูรถที่เป็นแบบมีกรอบประตูทั้ง 4 บาน กรอบโลหะบวกกับซีลยางโดยรอบน่าจะทำได้แนบสนิทกว่าประตูแบบไม่มีเฟรมที่ใช้ใน F56 ครับ
เส้นทางการทดสอบโดยรอบ Oxfordshire นี้ ต้องบอกว่าเป็นหนึ่งในเส้นทางทดสอบรถยนต์ที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งครับ แม้ว่าจะเป็นเส้นทาง B road ชนบท ผิวถนนไม่ได้เรียบสวยงามมากนัก และทำความเร็วได้ไม่สูงมาก แต่เอกลักษณ์ของความแคบแบบให้รถสวนผ่านกันได้พอดิบพอดี บวกกับมีโค้งและเนินขึ้นลงค่อนข้างมาก ทำให้เหมาะสมกับคาแรคเตอร์ของรถมินิอย่างบอกไม่ถูก ที่สำคัญคือวิวทิวทัศน์ของแทบจะตลอดเส้นทางการทดสอบมีความสวยงามและอุดมสมบูรณ์มากๆ ตื่นตาตื่นใจกันตลอดการทดสอบตลอดทั้งวันเลยทีเดียว
รถทดสอบที่ผมได้ทดสอบวันนี้ ทาง MINI ได้จัดเตรียมรุ่นที่ใช้เกียร์ Sport Automatic มาให้ทั้งสองรุ่น สามารถปรับโหมดมาเป็นโหมด Sport ที่เราต่างชื่นชอบกันมาในรุ่น F56 เพื่อฟิลลิ่ง Go-Kart ให้อารมณ์สปอร์ต ช่วงล่างที่หนึบขึ้นจากผลของระบบปรับไฟฟ้าของโช้ค การใช้รอบเครื่องที่สูงขึ้น และเสียงท่อที่ทรงพลังกว่า Mid Mode อย่างเห็นได้ชัด เรียกได้ว่าความแรงที่เราประทับใจมาจาก F56 ยังคงอยู่อย่างครบถ้วนเมื่อมาอยู่ในตัวถังที่ยาวขึ้นและเอนกประสงค์ขึ้นใน MINI 5 door F55 ตัวนี้ ถึงแม้ว่าเส้นทางการทดสอบทั้งหมด จะไม่สามารถใช้ความเร็วได้สูงมากนักก็ตาม (ไม่อยากโดนปรับที่นี่ครับ อาจถึงขั้นล้มละลาย)
เมื่อถึงจุดสลับคนขับ ผมเปลี่ยนให้คุณจิมมี่ไปอยู่ในตำแหน่งผู้ขับ ในขณะที่ผมเลือกมานั่งข้างหลัง เพื่อทดสอบถึงความสะดวกสบายของผู้โดยสารในแถวหลังเมื่อนั่งโดยสารจริง ซึ่งเป็นจุดเด่นของ MINI 5 door ที่เหนือกว่า Hatch 3 ประตู โดยสิ่งที่สัมผัสได้จุดแรกคือการขึ้นลงของผู้โดยสารแถวหลัง ถึงแม้ว่าบานประตูจะสามารถเปิดได้กว้างมาก แต่ความกว้างของประตูก็ยังออกจะแคบไปสักหน่อย ตอนขึ้นรถอาจไม่ใช่ปัญหามากนัก แต่ตอนลงจากรถมีโอกาสที่ปลายรองเท้าจะแฉลบโดนแผงประตูด้านในค่อนข้างมาก (ใช้ไปนานๆ จะมีร่องรอยจากหัวรองเท้าฝังอยู่เต็มแผงประตูด้านในแน่) เบาะด้านหลัง มีความลึกเป็นหลุม รองรับสรีระได้ค่อนข้างดีเมื่อเทียบกับรถในขนาดเดียวกัน ไม่สามารถปรับเอนเบาะได้ แต่สามารถปรับระดับความสูงของหมอนรองศีรษะได้ตามความสูงของผู้โดยสาร พื้นที่วางขาหรือ legroom นั้นต้องบอกว่า “เหลือเฟือ” และดีกว่าที่คิดไว้มากครับ เรียกได้ว่าไม่ต้องแย่งพื้นที่กันระหว่างผู้โดยสารแถวหน้าและแถวหลังเหมือนที่ต้องทำกับรุ่น Hatch 3 ประตู
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าผู้โดยสารแถวหลังจะสามารถนั่งได้อย่างหลวมๆ ไม่อึดอัด แต่การโดยสารในรถ MINI ทรง Hatch นี้ก็ยังไม่สามารถคาดหวังถึงความนิ่ม นั่งสบายได้อยู่ดี โดยเฉพาะเมื่อเจอกับผิวถนนที่ไม่ได้เนียนเรียบอย่างเส้นทางที่เราใช้ทดสอบกันนี้ ก็เล่นเอาผู้โดยสารแถวหลังเหนื่อยล้า กับการเด้งกระดอนของช่วงล่าง MINI ที่เซ็ตมาค่อนข้างแข็งกว่ารถทั่วไป ตามแบบฉบับของ Go-Kart Feeling ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของ MINI มาอย่างยาวนาน จึงต้องขอย้ำอีกครั้งว่า MINI 5 door ยังคงเป็นลูกไม้ที่หล่นไม่ไกลต้น อย่าเข้าใจผิดว่าทำมาให้ผู้โดยสารแถวหลังขึ้นลงอย่างสะดวกขึ้น นั่งได้สะดวกขึ้นแล้ว จะพาความสบายติดตัวมาด้วย เพราะไม่เคยมีคำว่าสบายอยู่ใน DNA ของ MINI ครับ มีแต่คำว่าสนุกอย่างเดียว (แต่จริงๆ รุ่นนี้ก็ถือว่าสบายกว่าเจเนอเรชั่นก่อนๆ มากโขแล้วนะ)
MINI 5 door ทุกรุ่น จะมาพร้อมกับเบาะที่นั่งแถวหลังที่สามารถนั่งได้ถึง 3 คนครับ มีเข็มขัดนิรภัยและหมอนรองศีรษะมาให้ 3 จุด แต่การเอาผู้โดยสารคนที่ 3 ไปนั่งตรงกลางนั้น อาจต้องใช้คำว่าทุลักทุเล เพราะพื้นที่จริงๆ มีเพียงพอสำหรับ 2 คนเท่านั้น เว้นแต่โชคดีเป็นครอบครัวไซส์มินิ หรือไปกับเพื่อนสาวๆ ไซส์มินิเท่านั้น เพราะ MINI 5 door ก็ยังคงมีความกว้างของตัวรถเท่ากับรุ่น Hatch 3 ประตู ไม่ได้ถูกขยายให้รองรับกับผู้โดยสาร 3 คนแบบ MINI Countryman ผมจึงไม่อยากให้คาดหวังอะไรกับการโดยสารโดยนั่งข้างหลัง 3 คนกับ MINI 5 door คันนี้เลย ถ้าคุณไม่ตัวเล็กพอ
อย่างไรก็ตาม MINI ได้พิสูจน์ให้เห็น 1 เรื่องในการจับตลาดพ่อแม่มือใหม่ สำหรับครอบครัวที่เพิ่งมีเจ้าตัวน้อย ที่อาจเคยเมินรถ MINI Hatch 3 ประตู เพราะยากลำบากเหลือเกินในการติดตั้งที่นั่งเด็ก (child seat) เข้าไปในรถ โดยเฉพาะการติด child seat ที่เบาะหลัง เพราะกว่าจะยัดเก้าอี้เด็กเข้าไปได้ ต้องพับเบาะ เบียดเข้าไปจนแทบฉีก หรือไม่ก็ต้องพับเบาะหลังครึ่งหนึ่ง เพื่อลำเลียงที่นั่งเด็กเข้าไป ทั้งหมดนี้ถูกแก้ปัญหาด้วย MINI 5 door คันนี้ได้อย่างสมบูรณ์ ตอบโจทย์พ่อแม่หัวใจวัยรุ่น ที่ต้องการซิ่ง MINI Hatch ที่บวกเอาความสะดวกสบายเพิ่มเข้าไปอีกนิด อย่าเพิ่งหัวเราะไปว่าใครเค้าจะขับ MINI เลี้ยงลูกเล็กๆ กัน นี่ทาง MINI พูดจริงทำจริง ถึงกับเอา child seat รุ่นใหม่มาโชว์กับ MINI 5 door เลยนะครับ (เบาะที่นั่งรองรับตำแหน่งยึด ISOFIX)
MINI Cooper SD 5 door
ถัดจาก MINI Cooper S 5 door แล้ว ยังเหลืออีกหนึ่งรุ่นให้ทดสอบกันก็คือ MINI Cooper SD 5 door เครื่องยนต์ดีเซลที่แรงที่สุดจากมินิในเวลานี้ ซึ่งเครื่องยนต์ที่ใช้ใน Cooper SD นี้ เป็นเครื่องยนต์ใหม่ที่ผมไม่เคยได้ทำการทดสอบมาก่อนครับ แตกต่างจาก Cooper D ที่ใช้เครื่องยนต์ดีเซล 1.5 ลิตร 3 สูบ ขยับมาเป็น 2.0 ลิตร 4 สูบ ทวินพาวเวอร์เทอร์โบ เสริมความแรงให้กับเครื่องยนต์ดีเซลในเจเนอเรชั่นใหม่ ใช้รหัสเครื่องยนต์ B47 ให้กำลังสูงสุด 170 แรงม้า และให้แรงบิดมหาศาลถึง 360 Nm ที่ 1,500 rpm!! นับเป็นเครื่องยนต์ดีเซลตัวท้อปสุดของมินิ และเป็นเครื่องยนต์ที่ให้แรงบิดสูงที่สุดของมินิด้วย
BMW Group ได้ลงทุนพัฒนาและเสริมกำลังการผลิตเครื่องยนต์มินิในเจเนอเรชั่นใหม่นี้ ทั้งเครื่องยนต์เบนซินและดีเซลใหม่ทั้งหมด มีการปรับปรุงและใช้เทคโนโลยีของ BMW มาเสริมกำลังหลากหลายอย่าง ซึ่งสร้างสมดุลระหว่างพละกำลังกับอัตราการประหยัดเชื้อเพลิงได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะเครื่องยนต์ดีเซลที่ใช้ในมินิเจเนอเรชั่นใหม่นี้ เคลมไว้ว่าให้ความประหยัดที่เหนือกว่าเครื่องยนต์ดีเซลในเจเนอเรชั่นก่อนหน้าถึง 25% ในขณะที่มีพละกำลังความแรงที่สูงขึ้นกว่าเดิม และทีม Powertrain ของ BMW ก็ได้เซ็ตคาแรคเตอร์ของเครื่องยนต์ให้เหมาะสมกับคาแรคเตอร์ของรถ MINI ได้ดีขึ้นกว่าเดิม
MINI Cooper SD 5 door ทุกคันที่ MINI เตรียมมาให้สื่อมวลชนทดสอบครั้งนี้ มาพร้อมกับสีฟ้า Electric Blue ที่แฟนๆ มินิชื่นชอบกันมาตั้งแต่สมัย R53 MINI Cooper S ปี 2002-2006 ครับ ซึ่งตอนนั้นสี Electric Blue ถูกใช้เป็นสีเปิดตัวเลยด้วย โดยหลังจากที่ MINI เปิดตัว R56 ในปี 2006 ก็ไม่มีการเอาสี Electric Blue กลับมาใช้อีกเลย เรียกได้ว่าสีนี้ห่างหายจากรถยนต์ MINI ไปนานถึง 8 ปีเต็มๆ จนกลับมาอีกครั้งในรุ่น MINI 5 door คันนี้
ทันทีที่สตาร์ทเครื่องยนต์ เสียงอันเป็นเอกลักษณ์ของเครื่องยนต์ดีเซลก็ดังขึ้นทันที แต่การเก็บเสียงและการซับแรงสั่นสะเทือนของเครื่องยนต์ภายในห้องโดยสารก็ยังสามารถทำได้ในระดับที่ดีอยู่ (ไม่ต่างจากตอนที่เรารีวิว F56 MINI Cooper D) ซึ่งพอได้ลองแตะคันเร่งออกตัว เครื่องยนต์ทวินพาวเวอร์เทอร์โบ ดีเซล 2.0 ลิตร 4 สูบ ก็แสดงศักยภาพของแรงบิดมหาศาล ไปสูงสุดที่ 360 Nm ที่รอบต่ำเพียง 1,500 rpm ออกมาได้อย่างชัดเจน เรียกได้ว่า แตะแล้วพุ่งทะยาน การออกตัวในย่านความเร็วต่ำ ทำได้น่าประทับใจอย่างมาก และเป็นคาแรคเตอร์ที่หาไม่ได้ในเครื่องยนต์เบนซิน
โดยทั่วไปแล้ว เครื่องยนต์ดีเซล จะเริ่มมีอาการแผ่วปลาย ในย่านความเร็วสูง ซึ่งเราได้เจออาการนี้มาในเครื่องยนต์ Cooper D ที่ใช้เครื่องยนต์ดีเซล 1.5 ลิตร 3 สูบ เมื่อตอนที่เรารีวิวไปกับตัวถัง F56 แต่อาการเหล่านี้ เมื่อมาอยู่กับเครื่องยนต์ดีเซลที่มีคขนาดใหญ่ขึ้นเป็น 2.0 ลิตร 4 สูบใน MINI Cooper SD ก็เรียกว่าขยับอาการแผ่วปลายขึ้นไปสูงถึงช่วง 160 km/h ขึ้นไป ที่ไม่ใช่แค่เพียงพอต่อความต้องการ แต่แรงอยู่ในระดับที่สนุก สะใจเลยทีเดียว จนบางครั้งในช่วงที่สามารถทำความเร็วได้นี่ถึงกับนึกไม่ถึงว่าเป็นเครื่องยนต์ดีเซลกันเลย นับได้ว่าเป็นเครื่องยนต์ที่ทั้งซิ่ง ทั้งประหยัดอย่างมากในตัวเดียวกันที่ BMW ทำออกมาได้อย่างไม่ผิดหวัง
เราได้ขับรถทดสอบไปจนถึง Bicester และวกกลับมาขึ้นทางหลวงมอเตอร์เวย์ M40 เพื่อเดินทางกลับมายังจุดคืนรถที่ Fawley Court ทำให้มีช่วงที่สามารถทำความเร็วได้พอสมควร ที่ตอนแรกผมยังกล้าๆ กลัวๆ อยู่ แต่พอเห็นเพื่อนร่วมทางซิ่งแบบไม่แคร์ speed limit แล้ว ก็เลยมีโอกาสได้ซัดตามบ้างเป็นบางช่วง และทำให้มีโอกาสได้ลองใช้แป้น paddle shift บนพวงมาลัย (ออปชั่นนี้ไม่มีในสเปคที่จำหน่ายในประเทศไทยปัจจุบัน) พบว่ามันสามารถชิฟต์เกียร์ได้เร็วกว่า paddle shift ใน R56 มากพอสมควร ซึ่งแป้น paddle shift ใน F55/F56 มีการปรับเปลี่ยนมาเป็นแป้นซ้าย=ลบ แป้นขวา=บวก แล้ว แฟนมินิเจเนอเรชั่นก่อนๆ มาขับรุ่นนี้ต้องปรับตัวกันเล็กน้อยครับ
อีกหนึ่งออปชั่นที่ผมชอบมาก กับการทดสอบรถยนต์ MINI 5 door ทั้งสองรุ่นครั้งนี้ คือ Head-up Display บริเวณหลังพวงมาลัย เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่ผมมีโอกาสได้ใช้งาน HUD บนท้องถนนที่ระบบนำทาง Navigation สามารถใช้งานได้จริง และพบว่ามันสะดวกมากกกก (อยากเติม ก.ไก่ ไปอีก 2 บรรทัด) เมื่อกดให้ระบบนำทางจากระบบ Navigation System บนหน้าจอของตัวรถแล้ว ข้อมูลที่ปรากฏบน Head-up Display สามารถบอกได้อย่างละเอียดและแม่นยำมาก ในบางจุด บางทางแยก สามารถบอกได้ถึงระดับว่าเราควรต้องอยู่เลนไหน มีสีสันและระยะบ่งบอกให้ครบพร้อม ชนิดที่ไม่ต้องละสายตาจากท้องถนนลงมามองหน้าจอใหญ่ของตัวรถอีกต่อไป เพราะแค่เหลือบตาเพียงนิดเดียว ก็มองเห็นหน้าจอ HUD ได้แล้ว ผมจึงขอเถอะครับ MINI ในเจเนอเรชั่นนี้ (ทั้ง F55 และ F56) ที่มินิ ประเทศไทยอุตส่าห์ทำให้ระบบ Navigation ใช้งานในไทยได้แล้วทั้งที ช่วยติดเอาออปชั่น Head-up Display มาให้ใช้กันเถิด จะได้ไม่เสียของ เพราะออปชั่นนี้มันดีมาก ออกแบบมาได้สวยมาก และใช้งานจริงสะดวกมากๆ ครับ
สรุป
เป็นการตัดสินใจอย่างยากลำบาก และใช้เวลาอย่างยาวนาน ของ MINI ที่ยอมเอารถ Hatch ที่เป็นรูปทรงต้นตำรับของแบรนด์มานานกว่า 55 ปี มาเพิ่มประตูเข้าไปอีก 2 บาน เพื่อก้าวเข้าสู่ตลาดรถยนต์ Hatch 5 ประตูอย่างเป็นทางการ ไม่ว่าจะอ้างเหตุผลทางความต้องการของลูกค้ามากน้อยเพียงใด แต่ท้ายที่สุดแล้ว นี่คือหนทางอยู่รอดด้านธุรกิจของแบรนด์ ที่ผู้บริหาร MINI ต่างรู้ดีว่าตลาดของ Hatch 5 ประตูนั้น ใหญ่โตกว่า Hatch 3 ประตูมากขนาดไหน และถ้าลองหันมาถามเสียงจากแฟนๆ MINI ทั้งหลาย ณ วันนี้ ก็ปฏิเสธการตัดสินใจครั้งนี้ได้ยาก เพราะทุกคนต่าง “ยอมรับได้” กับรูปแบบตัวถังต่างๆ ของ MINI ที่ออกมามากมายถึง 7 แบบก่อนหน้านี้ รวมถึงการทำ Hatch 5 ประตูครั้งนี้ ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่กว่าตอนที่ MINI ตัดสินใจทำ Countryman เลย เพราะฉะนั้น ตัวถัง Hatch 5 ประตูนี้ MINI มีคำตอบชัดเจนแต่แรกอยู่แล้วว่า “ตลาดยอมรับได้” ครับ
สิ่งที่ผมกังวลก่อนที่จะได้มาเห็นตัวจริงของ MINI 5 door ก็คือ MINI จะสามารถเพิ่มประตู 2 บานเข้าไปในรูปทรง Hatch ดั้งเดิมของตัวเองได้อย่างไม่เสียเอกลักษณ์มากน้อยขนาดไหน เพราะผมมองว่า การที่ MINI 5 door ต้องรักษาคาแรคเตอร์ของ Hatch เดิมทั้งรูปลักษณ์และฟิลลิ่งในการขับขี่นั้น เป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดในการทำตัวถังนี้ (เนื่องจาก MINI เองมีโมเดล Countryman รองรับกับตลาดที่ต้องการรถใหญ่อยู่ก่อนแล้ว) และหลังจากที่ได้มาสัมผัสตัวจริง ขึ้นลงตัวรถ พูดคุยกับทีมออกแบบและทีมวิศวกร รวมถึงได้ทดลองขับ ก็รู้สึกโล่งใจ ที่ทีม MINI ได้มุ่งมั่น และทำงานอย่างหนักให้ MINI 5 door ตอบโจทย์ดังกล่าว ชนิดที่เรียกว่าผู้ขับเมื่อนั่งในตำแหน่งหลังพวงมาลัยแล้ว ไม่สามารถแยกออกได้เลยว่า กำลังขับ MINI 3 door หรือ MINI 5 door
ในส่วนของการนั่งโดยสาร โดยเฉพาะผู้โดยสารแถวหลัง แน่นอนว่าได้ประโยชน์เต็มๆ จากการขึ้นลงรถที่ง่ายขึ้น และมีพื้นที่วางขาที่มากขึ้นกว่าเดิมชนิดเหนือความคาดหมาย แต่ก็ต้องไม่ลืมว่า MINI 5 door ก็คือรถยนต์ Hatch คันหนึ่ง ที่มีคาแรคเตอร์ในแบบฉบับของ MINI เต็มร้อย อย่าได้คาดหวังถึงความสบายจากการนั่งโดยสารในรถคันนี้ แต่ในฐานะแฟนมินิ ที่มีโอกาสได้ทดลองขับ MINI มาแล้วทุกรุ่น ต้องบอกว่า นี่เป็น MINI ที่ให้ความสบายกว่า MINI ในเจเนอเรชั่นก่อนๆ มากแล้วนะครับ
พื้นที่เก็บสัมภาระท้ายรถ มีการขยายขนาดให้เหมาะสมกับตัวรถ จนผมมองว่า หลายๆ คนที่เคยคอมเมนต์กับรถยนต์ MINI ว่ามีขนาดเล็กเกินไป และก็ไปคอมเมนต์ MINI Countryman ว่าใหญ่เกินไป (หรือแม้กระทั่งคนที่ไม่ยอมรับว่า Countryman คือ MINI) ต้องกลับมาพิจารณาเจ้า MINI 5 door ตัวนี้ เพราะมันคือ MINI Hatch ที่ยาวขึ้น เก็บของได้มากขึ้น แต่มีเอกลักษณ์ความเป็น MINI อยู่ครบถ้วน แถมหน้าตายังกลมกลืนไปกับ MINI Hatch ชนิดที่หลายๆ คนอาจไม่ทันสังเกต ส่วนแฟน MINI ที่ยังรับไม่ได้กับตัวถัง 5 ประตูนี้ ก็คงต้องกลับไปซบอก Hatch 3 ประตูแบบดั้งเดิม ออริจินัลที่สุด และอมตะที่สุดอยู่ดี
MINI 5 door มีออปชั่นเครื่องยนต์ และอุปกรณ์ตกแต่งเหมือนกับในรุ่น MINI Hatch 3 ประตูทุกประการครับ นั่นคือ (ในสเปคต่างประเทศ) มันจะประกอบไปด้วยเครื่องยนต์ 6 แบบ เป็นเบนซิน 3 แบบ (One, Cooper, Cooper S) และ ดีเซล 3 แบบ (One D, Cooper D, Cooper SD) แต่พอเข้าไทยจริงๆ อาจจะมีเพียง Cooper, Cooper D. Cooper S และ Cooper SD ให้เลือกเท่านั้น ซึ่งสเปคมาตรฐานและออปชั่นต่างๆ ของ MINI 5 door รุ่นที่จะนำเข้ามาจำหน่ายในประเทศไทยนั้น ต้องรอการยืนยันออปชั่น และ ราคาขายอย่างเป็นทางการจากทางมินิ ประเทศไทยในช่วงงาน Thailand International Motor Expo 2014 ปลายเดือนพฤศจิกายนครับ
ในการทดลองขับครั้งนี้ ผมมีโอกาสได้ลองเครื่องยนต์ใหม่อย่าง Cooper SD ที่เป็นเครื่องยนต์ดีเซล 2.0 ลิตร 4 สูบด้วย และมันได้แสดงศักยภาพให้เห็นแล้วว่า มันเหมาะที่จะเป็นเครื่องยนต์ดีเซลตัวท้อปของ MINI จริงๆ และผมก็คาดหวังให้มินิ ประเทศไทย นำเอาโมเดล Cooper SD ทั้งในรุ่น 3 ประตู และ 5 ประตูเข้ามาวางจำหน่ายในบ้านเราด้วย เพื่อที่แฟนๆ มินิในบ้านเราจะได้มีโอกาสสัมผัสกับเครื่องยนต์ที่มีพละกำลังและคาแรคเตอร์ที่เหมาะสมกับตัวถัง MINI ในเจเนอเรชั่นล่าสุดเพิ่มเติมกันอีก 1 รุ่น และน่าจะเป็นตัวเลือกที่ดีให้กับแฟนๆ มินิที่หลงรักแรงบิดอันมหาศาลของเครื่องยนต์ดีเซล (แถมยังประหยัดอย่างมาก ทั้งจากเทคโนโลยีของเครื่องยนต์เอง และจากโครงสร้างภาษีน้ำมันดีเซลในบ้านเรา)
MINI 5 door เป็นส่วนผสมที่ลงตัวอย่างมาก และเป็นอีกการตัดสินใจที่กล้าหาญของ MINI ในการก้าวเข้าสู่ตลาดรถยนต์ Hatch 5 ประตู ที่มีการแข่งขันอย่างดุเดือด โดยพกความมั่นใจจากพื้นฐานของตัวถังของ MINI ในเจเนอเรชั่นล่าสุด กับชื่อชั้นของแบรนด์ในการต่อสู้กับตลาดนี้ และผมเองก็เชื่อว่า MINI 5 door มีเหตุผลมากเพียงพอสำหรับ MINI ในการทำขึ้นมา ประกอบกับการตัดสินใจครั้งนี้ จะไม่ขัดต่อศรัทธาของแฟนๆ MINI มากเท่ากับตอนที่ผลิต Countryman (ที่ขายดีเอาซะมากๆ) และไม่ว่าเราจะชอบมันหรือไม่ก็ตาม MINI 5 door จะเป็นหนึ่งในตัวถังที่ขายดีมากที่สุดอีกตัวถังหนึ่งของ MINI อย่างแน่นอนครับ
บทความโดย
อู๋ @spin9
ขอขอบคุณ
มินิ ประเทศไทย