มินิ ฉลองครบรอบ 50 ปี การได้แชมป์แรลลี่ Monte Carlo การแข่งขันมอเตอร์สปอร์ตระดับนานาชาติเป็นครั้งแรก ที่ถือว่าเป็นเกียรติประวัติอันยิ่งใหญ่ของมินิ และเป็นจุดเริ่มต้นของตำนานรถยนต์เล็กที่ขับสนุกมาจนถึงทุกวันนี้
21 มกราคม 1964 รถยนต์ Mini Cooper S หมายเลข 37 ติดรหัส 33 EJB คันสีแดง ได้วิ่งเข้าเส้นชัยเป็นลำดับแรก ของการแข่งขันแรลลี่ Monte Carlo ในปีนั้น โดยเฉือนเอาชนะรถยนต์ Ford Falcon เครื่องยนต์ V8 ที่มีความแรงกว่ามินิมหาศาล ไป 17 วินาที ถือเป็นจุดเริ่มต้นของตำนานรถยนต์เล็กในชื่อ “มินิ” ที่ทำให้ทุกสายตาในวงการมอเตอร์สปอร์ตหันมาจับตามอง
Paddy Hopkirk ผู้ขับรถ Mini Cooper S คว้าแชมป์แรลลี่ Monte Carlo ในครั้งนั้น ปัจจุบันอายุ 80 ปี มีสายตาลุกวาวเมื่อได้พูดถึงการคว้าแชมป์เมื่อ 50 ปีที่แล้ว ว่า “ถึงมินิจะเป็นรถยนต์ที่มีขนาดเล็กมาก แต่ก็มีข้อได้เปรียบหลายประการ ทั้งการวางเครื่องยนต์ขับเคลื่อนล้อหน้า และขนาดของรถยนต์เหมาะสมของสนามแข่งแรลลี่ที่มีความแคบในครั้งนั้น ทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างลงตัวไปเสียหมด” สนามแข่งแรลลี่ Monte Carlo ในปีนั้น ต้องวิ่งผ่านภูเขา ท่ามกลามสภาพอากาศอันหนาวเย็น ทั้งน้ำแข็ง และหิมะตลอดทาง มีโค้งแคบๆ และทางลาดชันมากมาย เพื่อวัดความสามารถของรถยนต์และนักขับที่เข้าแข่งขัน ที่มินิได้พิสูจน์ถึงความเป็นที่สุด ในการคว้าแชมป์ Monte Carlo สมัยแรกในปี 1964 รวมถึงยังรักษาแชมป์ได้ในปี 1965
ปี 1966 ซึ่งถือว่าเป็นปีที่ดราม่าที่สุดของการแข่งขัน Monte Carlo Rally ตลอดกาล เมื่อทีม Mini ได้พา Mini Cooper S เข้าเส้นชัยเป็นอันดับที่ 1, 2 และ 3 ของการแข่งขัน แต่ต้องถูกกรรมการตัดสิทธิ์ทั้ง 3 คัน ด้วยเหตุผลที่ว่าไฟสปอตไลท์ของรถ Mini ที่ติดตั้งเพิ่มบริเวณด้านหน้าของตัวรถนั้น ไม่ผ่านกฎการแข่งขัน ค้านสายตาของกองเชียร์และผู้เข้าแข่งขันทั้งหมด ซึ่งนักขับในปีนั้นคือ Paddy แชมป์เก่า, Rauno และ Timo รวมถึงรถ Mini Cooper S ได้รับการยกย่องจากแฟนๆ ในวงการมอเตอร์สปอร์ตเป็นอย่างมาก และได้รับการขนานนามว่าเป็นสามทหารเสือ หรือ Three Musketeers ของวงการ
Rauno Aaltonen แก้ตัวจากคำครหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นในปี 1966 ด้วยการคว้าแชมป์ในปี 1967 ตอกย้ำความสุดยอดของรถยนต์มินิ รวมเป็นแชมป์ Monte Carlo สามสมัยของสามทหารเสือในวงการมอเตอร์สปอร์ตยุคนั้น
รถยนต์ Mini ถูกสร้างขึ้นในเวอร์ชั่นแรกด้วยความแรงเพียง 34 แรงม้า แต่ด้วยการออกแบบที่ชาญฉลาด ทั้งการวางเครื่องยนต์ ขับเคลื่อนล้อหน้า น้ำหนักเบา การวางตำแหน่งล้อรถให้อยู่ที่มุมของตัวรถทั้ง 4 ด้าน สร้างความได้เปรียบอย่างยิ่งในสนามแข่งรถ, สนามแข่งแรลลี่ รวมถึงให้คาแรคเตอร์ในการขับขี่ที่ไม่มีรถคันใดในโลกเลียนแบบได้ จากนั้น รถ Mini ถูกพัฒนาให้มีความแรงที่เพิ่มมากขึ้น ทั้งความจุกระบอกสูบ และแรงม้า จนกลายมาเป็นรถมินิคลาสสิคหลากหลายรูปแบบ ที่ยังครองใจผู้ใช้รถทั่วโลกมาได้อย่างเหนียวแน่นจนถึงปัจจุบัน
คุณผู้อ่านสามารถอ่านตำนานความสำเร็จของรถยนต์มินิฉบับเต็ม ได้ที่หัวข้อ John Cooper Works ครับ