ถ้าพูดถึงรถ MINI ภาพแรกที่เข้ามาในหัวทุกๆ คน น่าจะเป็นรถ MINI ในโฉม Hatchback ซึ่งถือว่าเป็นโมเดลดั้งเดิมของมินิมาตั้งแต่รุ่นแรกนะครับ ถ้าเราย้อนไปถึงปี 1959 ที่เป็นปีกำเนิดของมินิ จะได้เห็นถึงความปราดเปรื่องของ Sir Alec Issigonis ผู้จรดปากกาออกแบบรูปโฉมของรถมินิเป็นครั้งแรก ลงบนแผ่นกระดาษทิชชู่ ด้วยแนวคิดการออกแบบรถยนต์ให้มีขนาดเล็ก กะทัดรัด แต่สามารถนั่งได้ 4 ที่นั่ง และมีพื้นที่ให้เก็บสัมภาระได้ จึงออกมาในรูปโฉม Hatchback ขนาดเล็กๆ ที่มีความเอนกประสงค์เกินคาด และยังมีหน้าตาที่เป็นเอกลักษณ์ แถมยังขับสนุก ด้วยดีกรีแชมป์โลกแรลลี่มอนติคาร์โล 3 สมัย จนสามารถครองใจผู้ใช้งานรถยนต์ทั่วโลกจนถึงปัจจุบัน
ผ่านมาแล้วถึง 58 ปี นับตั้งแต่รถมินิคันแรกได้เริ่มวางจำหน่าย ความคลาสสิคของตัวถังแบบ Hatchback ที่มินิได้สร้างมาตรฐานเอาไว้นั้น กลายเป็นหนึ่งในรูปทรงของรถยนต์ที่ได้รับความนิยมจากผู้ใช้รถทั่วโลก และบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ก็ยังได้สืบสานตำนานของมินิมาจนถึงโมเดลที่มีความทันสมัยในปัจจุบัน โดยไม่ว่า MINI จะมีรุ่นตัวถังใหม่ๆ เปิดตัวออกมารองรับกับความต้องการของตลาดกี่โมเดลก็ตาม โฉมของ Hatchback ก็ยังคงได้รับความนิยม และเป็นที่คุ้นตามากที่สุดในโลกอยู่ดี
เอกลักษณ์อีกอย่าง ของรถ MINI ที่เป็นตำนานสืบทอดกันมา ก็คือความยืดหยุ่นในการตกแต่งตัวรถ เช่น การทำสีหลังคา กับสีตัวถังหลักให้ไม่เหมือนกัน (จากความตั้งใจเดิมที่จะทำให้รถมินิโดดเด่น แตกต่างจากรถรุ่นอื่นๆ ในการแข่งขันแรลลี่) สีของกระจกมองข้าง, สติ๊กเกอร์ลวดลายบนฝากระโปรง, ลายของล้ออัลลอยด์ ที่ล้วนแต่มีตัวเลือกให้แฟนๆ มินิตกแต่งกันได้อย่างเต็มที่ ชนิดที่โรงงาน Oxford ของมินิถึงกับบอกว่า มินิกว่าสามล้านคันที่ผลิตสู่ตลาดนั้น แทบจะไม่มีคันไหนที่มีการตกแต่งเหมือนกัน 100% เลยทีเดียว
ปัจจุบัน MINI ยังยึดถือหลักการออกแบบดั้งเดิมของแบรนด์ ที่มีความเอนกประสงค์ ขับสนุก และมีตำนานให้บอกเล่าต่อได้อย่างภาคภูมิใจ ขยายไลน์ของรถ MINI Hatch ให้มีตัวเลือกมากขึ้น โดยมีทั้งรุ่น 3 ประตูแบบดั้งเดิม และรุ่น 5 ประตูที่เพิ่มความสะดวกในการขึ้นลงของผู้โดยสารแถวหลังมากยิ่งขึ้น ตามลักษณะการใช้งานของแต่ละครอบครัวได้อย่างลงตัว
อ่าน: รีวิว MINI Hatch 3 ประตู (F56)
อ่าน: รีวิว MINI Hatch 5 ประตู (F55)
เสน่ห์ของ MINI Hatch นอกเหนือจากรูปลักษณ์ที่สืบสานตำนานของมินิที่ทำให้หลายคนตกหลุมรักแล้ว มันคือ ความสามารถในการขับขี่ที่เกินตัว และมักจะสร้างเซอร์ไพรส์ให้กับแฟนๆ มินิอยู่เสมอ ด้วยคาแรคเตอร์การขับขี่แบบ Go-kart Feeling ล้อทั้ง 4 อยู่ชิดกับมุมสุดของตัวรถ การเซ็ตช่วงล่างที่มีความสปอร์ต และพวงมาลัยที่เฉียบคม ให้ความสนุกในการขับขี่บนท้องถนนชนิดที่หาไม่ได้จากรถยนต์ยี่ห้ออื่นๆ เลยล่ะครับ
ขนาดของตัวถัง MINI Hatch ก็เช่นกัน ที่เป็นส่วนสำคัญสมชื่อแบรนด์ MINI นะครับ ที่มันจะต้องมีขนาดกะทัดรัด แต่เอนกประสงค์ สามารถนั่งโดยสารได้ 4 คนอย่างไม่อึดอัด และต้องมีพื้นที่สำหรับเก็บสัมภาระอย่างเพียงพอ ผู้ขับขี่มองเห็นทัศนวิสัยที่ดีเยี่ยม จากขนาดของตัวรถที่เล็ก คล่องตัว ซอกแซกในเมืองได้อย่างสนุก หาที่จอดรถได้ง่าย แถมยังมีอัตราการสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงที่ดีเยี่ยม เมื่อเทียบกับรถยนต์ที่ใช้ขนาดเครื่องยนต์เดียวกันได้อย่างชัดเจน
ปัจจุบัน MINI มี MINI Hatch หลากหลายรุ่นย่อย และมีอุปกรณ์ตกแต่งที่หลากหลาย โดยเริ่มตั้งแต่รุ่น MINI Cooper 3 ประตู เครื่องยนต์ทวินพาวเวอร์เทอร์โบ เบนซิน 3 สูบ 1.5 ลิตร เปิดราคาขายที่ 2,150,000 บาท ไล่ขึ้นไปถึงรุ่น MINI Cooper S ที่มาพร้อมชุดแต่ง Seven Edition ที่เป็นชุดแต่งแบบพิเศษ จนไล่ไปสุดที่ MINI Cooper S JCW Dress Up Edition เครื่องยนต์ทวินพาวเวอร์เทอร์โบ เบนซิน 4 สูบ 2.0 ลิตร ที่ราคา 2,950,000 บาท มาพร้อมกับชุดแต่งแอโร่ไดนามิกของ JCW โดยทุกรุ่นย่อย จะมีตัวเลือกของรุ่น Hatch 5 ประตูด้วยเช่นกัน และเปิดราคาสูงกว่ารุ่น 3 ประตูอยู่รุ่นละ 40,000 บาท
รถ MINI ทุกรุ่น มาพร้อมกับแพ็กเกจการรับประกันและดูแลรักษา MINI Service Inclusive (MSI) ตามเงื่อนไขที่กำหนด โดยเริ่มต้นที่แพ็กเกจ MSI STANDARD รับประกันคุณภาพและการซ่อมบำรุงนาน 3 ปี หรือ 60,000 กิโลเมตร โดยลูกค้ามินิสามารถเลือกซื้อแพ็กเกจ MSI ได้สูงสุดที่แพ็ก ULTIMATE ขยายความคุ้มครองได้นานสูงสุดถึง 5 ปี หรือ 100,000 กิโลเมตร
ผู้ที่สนใจ สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ตัวแทนจำหน่าย MINI อย่างเป็นทางการทั่วประเทศครับ