Exclusive Review วันนี้ เป็น MINI ที่แฟนๆ มินิหลายคนใฝ่ฝันครับ กับ MINI John Cooper Works หรือ JCW ในโฉมของ F56 ที่ใกล้จะวางจำหน่ายในบ้านเรามากๆ แล้ว วันนี้ผมมีโอกาสได้ทดลองขับเจ้า MINI JCW ตัวแรงที่ประเทศเยอรมัน ก่อนที่จะเริ่มวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการ ซึ่ง MINI JCW ตัวนี้ ถือว่าเป็น MINI ที่แรงที่สุดเท่าที่ MINI เคยผลิตมาเลยทีเดียวล่ะครับ
MINI ได้เปิดตัวรถยนต์ MINI Hatch ในเจเนอเรชั่นที่สาม ภายใต้รหัสตัวถัง F56 ในช่วงปลายปี 2013 ครับ ซึ่งตอนนั้นได้เปิดตัวเฉพาะรุ่น Cooper, Cooper D และ Cooper S ก่อน โดยยังอุบซีรีย์ของ John Cooper Works (JCW) ตัวแรงเอาไว้จนกระทั่งต้นปี 2015 ที่ผ่านมา ถึงได้ทำการเผยโฉม MINI John Cooper Works อย่างเป็นทางการในงาน NAIAS Detroit Auto Show ที่ผมเองก็ได้ไปสัมผัสตัวจริงภายในงานให้ชมกันมาแล้ว แต่วันนี้ เราจะมาทดลองขับเจ้า MINI JCW ใหม่นี้กันครับ ว่าความแรง 231 แรงม้า ที่ MINI ไม่เคยทำ MINI รุ่นไหนแรงขนาดนี้มาก่อน พอมาอยู่กับตัวถัง Hatch ดั้งเดิม มันจะขับสนุกขนาดไหน!
(ใครที่ยังไม่ได้อ่านรีวิว MINI Hatch F56 ผมแนะนำให้ไปอ่านก่อนที่ลิ้งก์นี่นะครับ เพราะ MINI JCW ตัวนี้ อยู่บนพื้นฐานของตัวถัง F56 เหมือนกัน เพียงแต่มีการอัปเกรดสเปคเครื่องยนต์ให้แรงขึ้น)
การทดสอบทั้งหมดผมใช้เวลา 3 วันครับ โดยมารับรถ MINI JCW ที่เมือง Munich ประเทศเยอรมันในวันแรก ซึ่งผมได้ทดลองขับในเส้นทางจากเมือง Munich ย้อนไปยัง Stuttgart ก่อน และขับจาก Stuttgart ไปยังเมือง Hallstatt ประเทศออสเตรียในวันรุ่งขึ้น ก่อนที่จะขับกลับเส้นทางเดิมมาที่ Munich อีกครั้งในวันสุดท้าย เส้นทางส่วนมากอยู่บนทางหลวง Autobahn หมายเลข A8 รวมระยะทางทั้งสิ้น 940 กิโลเมตร ทดสอบกันจนจุใจเลยทีเดียว
รถยนต์ MINI John Cooper Works (F56) ที่ผมจะทดสอบครั้งนี้ เป็นสเปคของเยอรมันครับ (ออปชั่นบางอย่าง อาจจะแตกต่างจากรุ่นที่จะนำเข้ามาจำหน่ายในประเทศไทย) เรามาดูหน้าตา และออปชั่นมาตรฐานที่มากับตัวรถกันก่อนเลย
Exterior
MINI JCW คันนี้ มาพร้อมกับสีใหม่ ที่มีเฉพาะในรุ่น JCW เท่านั้น คือสีเขียว Rebel Green ตัดกับหลังคา และ กระจกมองข้างสีแดง ที่เป็น combination ของสีที่ MINI ไม่เคยทำมาก่อนในอดีต (แหม เขียวตัดแดง.. ใครจะเคยทำ) โทนสีเขียวค่อนข้างเข้ม ถ้าอยู่ที่มืดหน่อย ก็แทบจะกลายเป็นสีดำไปเลย
ชุดแต่ง aerokit รอบคันของ John Cooper Works ให้ฟิลลิ่งสปอร์ต และดุดันกว่า MINI Hatch รุ่นปกติค่อนข้างมาก โดยเฉพาะกันชนหน้า ที่ออปชั่นมาตรฐานจะไม่มีไฟตัดหมอก แต่จะเป็นช่องดักอากาศทั้งหมด โดดเด่นด้วยเส้นสีแดงพาดกลางกระจังหน้ารถ และโลโก้ John Cooper Works
ด้านท้ายของตัวรถ กันชนหลังของ JCW ที่เพิ่มลวดลายของช่องระบายอากาศ ท่อไอเสียมีขนาดใหญ่ขึ้นกว่า Cooper S เล็กน้อย (แต่เสียงที่ได้นี่ต่างกันลิบลับ) สปอยเลอร์ด้านหลัง ออกแบบเป็นสองชิ้น สปอร์ตเร้าใจ
ด้านข้างของตัวรถ มี side scuttle ลาย John Cooper Works และสเกิร์ตข้าง พร้อมบันไดที่มีโลโก้ JCW เช่นกัน
ล้อมาตรฐานที่ติดมากับ MINI JCW ตัวนี้ เป็นล้อลาย JCW ขนาด 17 นิ้ว มีเบรก Brembo สีแดง ขนาด 4 pots ขนาดใหญ่เท่าแขน (ใหญ่จนคิดว่าเป็น 6 pots ด้วยซ้ำ) ขนาดฟิตกับล้อของ JCW ชนิดแทบไม่เหลือช่องว่าง
Interior
ที่น่าจะโดนใจแฟนๆ มินิ ที่สุดของ MINI JCW ตัวนี้ ก็คือเบาะครับ เพราะ MINI ได้ออกแบบเบาะใหม่ร่วมกับ Recaro รูปทรงสปอร์ต กระชับตำแหน่งที่นั่งคนขับได้เป็นอย่างดี วัสดุที่ใช้ มีสลับกันทั้งหนังแท้ และหนังกลับ แถมยังใช้ขอบเบาะสีแดง เพิ่มความสปอร์ตเข้าไปอีก
บริเวณพนักพิง มีโลโก้ John Cooper Works เท่ๆ ด้วย
เบาะนี้สามารถพับ เพื่อให้ผู้โดยสารแถวหลังขึ้นลงได้ตามปกติครับ การปรับเบาะทั้งหมดยังเป็นแบบ manual ไม่ใช้ไฟฟ้ามาช่วยแต่อย่างใด
เบาะของผู้โดยสารแถวหลัง ก็มีดีไซน์ที่เข้ากับเบาะคู่หน้าด้วย โดยใช้โทนสี และวัสดุแบบเดียวกัน
บริเวณกรอบของคอนโซลกลาง ที่เป็นวงกลมตามเอกลักษณ์ของมินินั้น ทางมินิได้เติมเส้นสายของขีดความแรงเข้าไปโดยรอบ พ่วงกับโลโก้ John Cooper Works ในตำแหน่งบนสุด และ Red Line ที่บริเวณปลายสุดของมาตรวัด
พวงมาลัยสปอร์ต JCW ใช้ด้ายสีแดงในการเย็บ พร้อมโลโก้ JCW ที่บริเวณก้านพวงมาลัยเช่นกัน
มาตรวัดรอบและความเร็ว หลังพวงมาลัย มีการออกแบบใหม่ โดยเพิ่มเอาธงหมากรุก ไว้ที่ย่านความเร็วเกิน 200km/h และเพิ่มโลโก้ JCW ที่บริเวณด้านล่างของมาตรวัดความเร็ว
Engine and Drivetrain
ส่วนสำคัญที่สุดของ MINI JCW ก็คือพลังของเครื่องยนต์ที่มาขับเคลื่อนนี่แหละครับ ซึ่ง MINI เคลมตัวเลขแรงม้าของ MINI JCW ตัวนี้เอาไว้สูงถึง 231 แรงม้า แรงที่สุดที่ MINI เคยผลิตมา ใช้ขุมพลังจากเครื่องยนต์ 2.0 ลิตร 4 สูบ ทวินพาวเวอร์เทอร์โบ ซึ่งตามสเปคแล้ว MINI JCW คันนี้ สามารถเร่งความเร็วจาก 0 ถึง 100 km/h ได้ภายใน 6.3 วินาที
MINI JCW คันที่เราได้รับมาทดสอบครั้งนี้ เป็นเกียร์อัตโนมัติ Sport Automatic 6 สปีดครับ แต่เวอร์ชั่นที่วางขายจริง จะมีทั้งเกียร์ธรรมดา และ เกียร์อัตโนมัติให้เลือกตามความถนัด เพราะแฟนมินิหลายคนก็ยังชื่อชอบฟีลลิ่งของเกียร์กระปุกในรถมินิอยู่ ถึงแม้ว่าปัจจุบันเทคโนโลยีของเกียร์อัตโนมัติจะสามารถทำประสิทธิภาพได้ดีกว่าการเปลี่ยนเกียร์ด้วยมือในทุกๆ มิติแล้วก็ตาม
Technical Specification
Engine | MINI John Cooper Works |
Effective Displacement | 1998 cm3 |
Cylinders / Valves per Cylinder | 4 / 4 |
Max. Output / at engine speed | 231 hp / 5200-6000 rpm |
Torque / at engine speed | 320 nm / 1250-4800 rpm |
Compression Ratio | 10.2 : 1 |
Performance | |
Top Speed | 245 km/h |
Acceleration 0-100 km/h | 6.3 s |
ทดลองขับจริง
ทันทีที่ผมได้รับรถ MINI John Cooper Works จากศูนย์รับรถทดสอบของ BMW Group ที่เมืองมิวนิค ความประทับใจแรกก็คงหนีไม่พ้นเสียงของท่อไอเสียเมื่อกดปุ่มสตาร์ทรถครับ เรียกว่า “JCW” ได้โชว์พลังกันตั้งแต่สัมผัสแรกเลย มีเสียงสะท้อนของท่อ ตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่มกดคันเร่งแม้แต่น้อย เพื่อบ่งบอกให้คนขับได้รับรู้ว่า ถึงภายนอกจะดูเป็น MINI Hatch ที่รูปทรงใกล้เคียงกับ Cooper S เดิม แต่มันมีพลังแอบแฝงอยู่อย่างมหาศาลนะ
เส้นทางที่ผมใช้ขับทดสอบ MINI JCW ตัวนี้ ต้องบอกว่าเป็นสวรรค์ของคนชอบขับรถเลยครับ เพราะเราลุยกันบนทางหลวง Bundesautobahn (ออโต้บาห์น) ของเยอรมันที่มีผิวถนนเรียบสุดยอด ไร้รอยต่อ และมีหลายช่วงของทางหลวงที่ไม่จำกัดความเร็ว .. ใช่ครับ ไม่จำกัดความเร็วเลย จะซัดเท่าไหร่ก็ได้ โดยผมเริ่มวันแรกจากเมืองมิวนิค มุ่งหน้าไปยัง Stuttgart ระยะทาง 233 กิโลเมตร
ในช่วงแรกของการขับ ผมยังใช้โหมด Mid หรือโหมดปกติของตัวรถ MINI เพื่อทดสอบในโหมดการขับขี่ทั่วไปของตัวรถก่อน ซึ่งต้องขออนุญาตเอาไปเปรียบเทียบกับ MINI Cooper S ที่มีความแรง 192 แรงม้า เปรียบเทียบกับ MINI JCW ตัวนี้ที่ 231 แรงม้า ในโหมดการขับขี่ทั่วไป อาจไม่ได้รู้สึกถึงความแตกต่างที่ชัดเจนในเรื่องของการขับขี่ แต่ที่แตกต่างอย่างชัดเจนมากคือเรื่องของเสียงเครื่องยนต์และเสียงท่อ ที่แน่นกระชับ สปอร์ตกว่า Cooper S เป็นอย่างมาก
แต่พอเมื่อมีโอกาสได้กดคันเร่ง เพื่อแซง หรือทำความเร็วไปในย่านความเร็วที่สูงขึ้น ลวดลายของ JCW ก็แสดงตัวออกมาอย่างโดดเด่นมากทีเดียว ด้วยแรงบิดที่สูงถึง 320 nM บวกกับพลังของเทคโนโลยีทวินพาวเวอร์เทอร์โบแล้ว เริ่มให้ความรู้สึกเป็น “จ้าวถนน” ขึ้นมาทันที จังหวะเข้าแซง หรือเร่งทำความเร็วเป็นไปได้ด้วยความมั่นใจในทุกๆ ครั้ง
นอกเหนือจากความแรงที่ MINI จัดมาให้เต็มเหนี่ยว 231 แรงม้า (แรงที่สุดเท่าที่ MINI เคยผลิตรถยนต์มา) องค์ประกอบอย่างอื่นที่มากับตัวรถก็ต้องพร้อมรับมือกับความแรงของมันด้วย ระบบช่วงล่างและรับบส่งกำลังของ MINI John Cooper Works ก็ได้มีการปรับปรุง โดยใช้พาร์ตของ JCW ทดแทนพาร์ตมาตรฐานที่อยู่ใน MINI Cooper S หลากหลายส่วน รวมถึงเบรกขนาดใหญ่ 4 pots คาลิเปอร์สีแดงสด ที่มาช่วยให้จังหวะการเบรก และหยุดรถของ JCW ตัวแรงนี้มีความมั่นใจและรู้สึกปลอดภัยมากขึ้น
ในวันที่ 2 ของการทดลองขับ ผมตัดสินใจเลือกเส้นทางไกลเกือบ 500 กิโลเมตร จากเมือง Stuttgart มุ่งหน้าไปยังเมืองตากอากาศสุดคลาสสิคที่เป็นมรดกโลกอย่าง Hallstatt ที่ต้องข้ามแดนไปยังประเทศออสเตรีย เพื่อทดสอบการวิ่งระยะทางไกล ทดสอบวิ่งเส้นทางชนบท และ ยังถือโอกาสได้หาโลเคชั่นสวยๆ เพื่อถ่ายรูปรถคันนี้ไปด้วยพร้อมๆ กันครับ
วันนี้เป็นวันที่ผมได้ทดลองใช้โหมด Sport โดยผลักวงแหวนที่ฐานเกียร์เพื่อเปลี่ยนโหมดการขับขี่ แล้วก็ไม่ทำให้ผิดหวังอีกเช่นเคย ทันทีที่ผมผลักวงแหวนไปยังโหมด Sport (ผลักตอนไหนก็ได้ ไม่จำเป็นต้องหยุดรถสนิท) อานุภาพความสปอร์ตของ JCW ก็แผลงฤทธิ์ทั้งที ทั้งเสียงที่ดุดันเข้มข้นกว่าเดิม น้ำหนักพวงมาลัยที่มากขึ้น ช่วงล่างที่หนึบและแข็งกว่าโหมดปกติ การเปลี่ยนเกียร์ที่รอบเครื่องยนต์สูงขึ้น และเซ็ตติ้งของระบบส่งกำลัง ที่ส่งเสริมต่อการขับขี่อย่างสนุกสนาน ในโหมด Sport ของ MINI ที่แรงที่สุดในตลาดปัจจุบัน
พอสับที่มาโหมด Sport แล้ว การขับขี่บนออโต้บาห์นก็ยิ่งสนุกขึ้นไปอีกครับ เมื่ออยู่ในโซนที่ไม่จำกัดความเร็ว ผมชิดเลนซ้ายสุด พร้อมกับกดแป้น Paddle Shift ที่พวงมาลัยเพื่อลดเกียร์ กดคันเร่งจนจมมิด และเพลิดเพลินกับพละกำลังของ MINI John Cooper Works ที่แสดงขีดความสามารถออกมาได้อย่างดุดัน ชนิดที่ไม่คาดคิดว่ามันจะมากับรถ MINI จากโรงงานแบบไม่ได้ปรับแต่งใดๆ ในเวลาเพียงไม่กี่วินาที MINI John Cooper Works ก็พาผมไปที่ความเร็วกว่า 230 km/h โดยที่ไม่ทันได้รู้ตัว
สิ่งที่ MINI สามารถสร้างสมดุลได้อย่างดีมากในรถคันนี้คือ ความแรง กับความนิ่งเรียบ ที่ไม่ทำให้คนขับและคนนั่งเกิดอาการหวาดกลัวที่ย่านความเร็วสูง ระบบช่วงล่างที่เซ็ตมา ทำให้ทั้งคนขับและผู้โดยสารเดาได้ยากนัก ว่ารถกำลังวิ่งอยู่ที่ความเร็วเท่าไหร่กันแน่ (และประหลาดใจทุกครั้ง ที่รู้ว่าความเร็วทะลุหลัก 200 km/h ไปแล้ว) ผมต้องเหล่ตาสำรวจ Head-up Display อยู่บ่อยๆ เพื่อให้แน่ใจว่า ไม่ได้ทำความเร็วเกินในโซนที่มีการจำกัดความเร็วครับ
ฟิลลิ่งที่มาเต็มมากๆ ในโหมด Sport คือจังหวะที่เร่งความเร็วให้รอบเครื่องยนต์ขึ้นไปแตะ red line ที่ 6,500 rpm และจังหวะ shift เกียร์ขึ้นนี่ได้ฟีลกระชากหลังติดเบาะที่หาไม่ได้จาก Mid Mode พร้อมเสียงท่อที่ปล่อยออกมาได้อย่างเร้าใจจริงๆ นี่ขนาดรถเดิมๆ ไม่ต้องแต่งอะไรเพิ่มก็ขับสนุกมากๆ แล้ว แต่ก็แน่นอนครับว่า ความสปอร์ตก็ต้องแลกกับอัตราสิ้นเปลืองน้ำมัน ที่เดี๋ยวผมจะสรุปให้ฟังในตอนท้าย
เมื่อผมเดินทางมาถึงชายแดนประเทศเยอรมัน-ออสเตรีย ก็ต้องลดความเร็วลงมาครับ เพราะทางหลวงในออสเตรีย เริ่มเข้าสู่เขตชนบท มีการจำกัดความเร็วตลอดช่วง และถนนก็ไม่ได้เรียบเนียนเหมือนกับในเยอรมันแล้ว เข้าสู่โหมดการทดสอบอีกรูปแบบ ในย่านความเร็วไม่สูงมากนัก ก่อนที่จะเดินทางถึงเมืองมรดกโลกอย่าง Hallstatt ในช่วงเย็น
วันรุ่งขึ้น ผมเดินทางออกจากเมือง Hallstatt ใช้เส้นทางเลาะเขา ที่มีความชันและคดเคี้ยว เพื่อทดสอบประสิทธิภาพของ MINI John Cooper Works ทั้งการเข้าโค้ง และการใช้จังหวะเร่งแซง ซึ่งก็แน่นอนว่า ไม่เป็นปัญหาสำหรับ MINI ที่มีพละกำลังมหาศาลคันนี้ ก่อนที่จะข้ามชายแดนกลับมาประเทศเยอรมันอีกครั้ง และต้องเผชิญกับรถติดบนทางหลวงอย่างยาวนาน เนื่องจากมาตรการคุมเข้มผู้อพยพข้ามแดนของประเทศเยอรมันในเวลานี้
134 กิโลเมตร จากชายแดนออสเตรีย-เยอรมนี ผมก็กลับถึงมิวนิคอีกครั้ง เป็นอันสิ้นสุดการทดสอบ MINI John Cooper Works F56 รวม 3 วัน ระยะทาง 940 กิโลเมตร รวมใช้น้ำมันไปทั้งสิ้น 83 ลิตร (แวะเติมน้ำมันทั้งหมด 2 ครั้ง) เฉลี่ยแล้ว จากการขับขี่ในทุกสถานการณ์ ทั้งรีดพลังจนสุด ขับขี่ด้วยความเร็วปกติ ขับในเมือง ทางขึ้นลงเขา และรถติดบ้างปะปนกัน อัตราสิ้นเปลืองอยู่ที่ 11.4 กิโลเมตรต่อลิตร … ถือว่าทำได้ไม่เลวเลยกับรถที่ขับสนุกขนาดนี้ครับ
Wrap Up
MINI ยังคงรักษาตำนานความแรงของ “John Cooper Works” ด้วยการต่อยอดขึ้นไปอีกหนึ่งขั้นในตัวถัง F56 นี้ โดยยึดเอาความสปอร์ต และความสนุกสนานในการขับขี่เป็นโจทย์หลักในการพัฒนารถยนต์ MINI Hatch ให้ขึ้นมาถึงขีดสุดที่โรงงานจะสามารถผลิตออกมาจำหน่ายในตลาดได้ โดยดันเจ้า MINI JCW ตัวนี้ให้มีความแรงที่สุดเท่าที่ MINI เคยผลิตมา ด้วยความแรงที่เหนือกว่า MINI GP รุ่นก่อนหน้าเสียอีก
ส่วนที่ผมชื่นชอบที่สุดใน MINI JCW ตัวนี้ กลับไม่ใช่หน้าตาของมัน แต่เป็นความบาลานซ์ระหว่างฟิลลิ่งสปอร์ตที่มาจากความแรงของตัวรถ กับความรู้สึกมั่นใจ ที่ MINI ใส่ใจในทุกรายละเอียด เพื่อไม่ให้คนขับหรือคนนั่งรู้สึกว่ากำลังนั่งอยู่ในรถที่มีพละกำลังมหาศาล จนอาจจะลืมประเมินไปว่า กำลังใช้ความเร็วที่สูงมากพอสมควรอยู่ ถึงแม้ว่า ตัวเลข 231 แรงม้า อาจจะไม่ได้ฟังดูเป็นรถยนต์ Hatch ที่แรงมากมายขนาดนั้น แต่เชื่อผมเถอะว่า 231 แรงม้าในไซส์ของ MINI และใช้การขับเคลื่อนล้อหน้า มันมากจนทะลุขีดความสนุกของทุกคนไปได้ไม่ยากเลย
อีกส่วนหนึ่งที่ถูกใจผมอย่างมาก คือการตกแต่งภายในรถ MINI JCW ตัวนี้ ที่ดูลงตัวไปหมด ทั้งเบาะที่นั่ง มาตรวัด พวงมาลัย คอนโซลต่างๆ พอนั่งอยู่ในบรรยากาศนั้นแล้ว มันส่งเสริมให้กดคันเร่งไปหมด ขับช้าไม่ได้เลยจริงๆ
MINI JCW อาจจะไม่ใช่ MINI ที่เหมาะกับทุกคนครับ และก็ไม่ได้เหมาะกับคนส่วนมากเสียด้วย แต่ถ้าใครรักในความสปอร์ต และยิ่งเป็นแฟนมินิที่ต้องการขับรถยนต์ที่ขับสนุก ในลิมิตที่ปลอดภัย ไม่อยากวุ่นวายมาแต่งเครื่องยนต์เสริมความแรงด้วยตัวเอง ผมว่า JCW F56 ตัวนี้เป็นคำตอบที่ชัดเจนอย่างมาก หรือ แฟนมินิขาซิ่ง สายแต่งรถ ผมว่าเครื่องยนต์ 2.0 ลิตร 4 สูบ ทวินพาวเวอร์เทอร์โบ ที่เซ็ตอัปมาอย่างแน่นมาจากโรงงานตัวนี้ ก็พร้อมจะรองรับการปรับแต่งให้แรงขึ้นไปได้อีกมากอย่างแน่นอน
มินิ ประเทศไทย ได้ยืนยันกับผมแล้วว่า MINI John Cooper Works F56 รุ่นนี้ จะนำเข้ามาจำหน่ายในประเทศไทยอย่างแน่นอน และจะเผยโฉมครั้งแรกในไทย ในงาน Thailand International Motor Expo ช่วงต้นเดือนธันวาคมที่จะถึงนี้ โดยที่ยังไม่มีการเปิดเผยราคาแต่อย่างใด เปิดราคาที่ 3.45 ล้านบาท แต่ผมคาดว่า มินิ ประเทศไทย จะเริ่มทำการจำหน่ายรุ่นนี้ในช่วงต้นปี 59 เพื่อใช้ฐานภาษีใหม่ ที่จะส่งผลให้ตัวรถมีราคาที่ย่อมเยาลงครับ แฟนมินิที่สนใจรุ่นนี้ ก็อดใจรอชมคันจริงได้ในงาน Motor Expo นะครับ
บทความโดย
อู๋ @spin9
ขอขอบคุณ
BMW Group Thailand
BMW AG