อีกเพียง 10 วันเท่านั้น แฟนๆ MINI ทั่วโลกก็จะได้พบกับ MINI โฉมใหม่หมดจด หรือ MINI ในเจเนอเรชั่นที่สาม วันนี้ผมมารวบรวมช้อมูลให้ดูกันครับว่า เจ้า MINI โฉมใหม่นี้ มีอะไรที่แตกต่างไปจากเดิมบ้าง รวมถึงข้อมูลอย่างเป็นทางการทั้งหมดที่ทาง MINI ได้เปิดเผยมากับ MINI F56 นี้
รูปลักษณ์ภายนอก
แน่นอนว่า MINI ยังคงไม่มีการเปิดเผยรูปลักษณ์ภายนอกจาก F56 อย่างเป็นทางการจนกว่าจะถึงวันเปิดตัว แต่เราได้เห็นภาพหลุดของ F56 กันแบบหมดเปลือก จากการถ่ายทำภาพยนตร์โฆษณาที่สหรัฐอเมริกา มีช่างภาพมือดีแอบถ่ายมาให้เห็นกันทุกมุมรอบคัน ยกเว้นภายในตัวรถ ซึ่งโมเดลที่มีภาพหลุดออกมาคือ MINI Cooper S คันสีเหลือง ที่คาดว่าจะเป็นสีที่ใช้ในการโปรโมทหลักของ New MINI เจเนอเรชั่นที่สามนี้
รูปลักษณ์ภายใน
ภายในตัวรถต้องถือว่าเป็นส่วนที่ผู้ผลิตรถยนต์ส่วนมากเก็บรักษาความลับเอาไว้ได้ดีที่สุด เพราะโอกาสที่จะถูกแอบถ่ายภายในนั้นมีน้อยมาก โดยภาพหลุดภายในจากประเทศจีน บอกได้ว่ามีการออกแบบใหม่ยกแผง ชนิดทิ้งคราบเดิมให้เห็นเพียงดีไซน์คอนเซปต์เท่านั้น โดยหลังจากที่มีภาพหลุดชุดนี้ออกมาได้ไม่นาน ทาง MINI ก็ตัดสินใจเผยโฉมภายในอย่างเป็นทางการบางส่วน โดยเฉพาะหน้าจอวงกลมที่คอนโซลกลาง พร้อมเผยเทคโนโลยีต่างๆ ที่ช่วยอำนวยความสะดวกภายในตัวรถออกมาให้รู้กันล่วงหน้าแบบชัดๆ ไปเลย
MINI Head-up Display
F56 จะเป็นครั้งแรกของรถ MINI ที่มีหน้าจอ Head-up Display หรือ HUD ซึ่งเราได้เห็นรถยนต์หลากหลายรุ่นในตลาดต่างมีหน้าจอ HUD บ้างแล้ว แต่ HUD ที่จะอยู่ใน MINI F56 นี้ ไม่เหมือนใคร เพราะมันจะเป็นหน้าจอที่แสดงได้หลายสี ให้ข้อมูลแก่ผู้ขับรถมินิได้หลากหลาย เพิ่มความปลอดภัยในขณะขับขี่ โดยไม่ต้องละสายตาจากถนนเพื่อมาดูหน้าจอหลักของตัวรถ
หน้าจอ Head-up Display ของ F56 สามารถบอกตัวเลขความเร็วปัจจุบัน, ระบบนำทางในรูปแบบของลูกศรบนแผนที่, สัญลักษณ์เตือนคนเดินข้ามถนน, สัญลัฏษณ์เตือนการจำกัดความเร็ว และ ข้อมูลของระบบความบันเทิงในรถยนต์ เช่น ชื่อเพลง หรือ ชื่อคลื่นวิทยุ โดยทั้งหมดจะแสดงบนหน้าจอ HUD ความละเอียดสูง ให้ความคมชัดในทุกสภาพแสง
ตำแหน่งของหน้าจอ HUD จะเป็นช่องอยู่ระหว่างกระจกหน้ารถกับพวงมาลัย โดยจะเป็นหน้าจอแบบพับได้ สามารถเลือกที่จะเปิดหรือปิดได้จากฟังก์ชันของตัวรถ
Collision and pedestrian warning with city braking function.
มาดูต่อที่หน้าจอแบบใหม่ของตัวรถ ที่จะแสดงอยู่บริเวณคอนโซลวงกลม กึ่งกลางของ MINI F56 ใช้หน้าจอขนาดใหญ่ขึ้นกว่าเดิม และความละเอียดสูงขึ้นกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด ทาง MINI ได้เพิ่มระบบเตือนการชน โดยอาศัยกล้องที่ติดตั้งอยู่บริเวณกระจกหน้าของตัวรถ ในการคำนวนว่ามีสิ่งกีดขวางอยู่หน้ารถหรือไม่ ที่นอกจากจะเตือนคนเดินถนนที่อาจเดินตัดหน้าได้แล้ว กล้องนี้ยังตรวจสอบรถคันข้างหน้าตลอดเวลา ที่หากเราใช้ความเร็วไม่เกิน 60 km/h และเราไม่ได้เหยียบเบรคในระยะที่ปลอดภัย ระบบจะช่วยเบรครถให้อย่างอัตโนมัติ (City Braking Function) เพื่อป้องกันการปะทะกับสิ่งกีดขวางที่อยู่ด้านหน้าของตัวรถ
ระบบ City Braking Function จะทำงาน 2 ระดับ คือ หากระบบตรวจสอบว่ารถของเราใช้ความเร็วที่สูงกว่ารถคันข้างหน้ามากๆ ระบบจะส่งสัญญาณไฟเตือนให้คนขับรับทราบ (pre-warning) และระดับที่สอง คือจะส่งสัญญาณไฟเตือนกระพริบ พร้อมเสียงเตือนให้คนขับทำการเบรค ซึ่งหากไม่เบรคในระยะที่ปลอดภัย ระบบช่วยเบรคจึงจะทำงานเป็นขั้นตอนสุดท้าย ระบบนี้สามารถตั้งระดับความ sensitive ได้ ตามพฤติกรรมของผู้ขับขี่ โดยมีระดับ early, medium และ late หรือจะเลือกปิดระบบนี้ก็ทำได้เช่นกัน
ระบบนี้จะช่วยเพิ่มความปลอดภัยให้กับทั้งรถ MINI ของเรา, รถเพื่อนร่วมทาง รวมถึงคนเดินถนนทั่วไป โดยระบบช่วยเบรคจะช่วยลดการชนที่อาจเกิดขึ้น หรืออย่างน้อยที่สุด ก็สามารถลดระดับความรุนแรงของการชนได้
Speed limit info
ระบบเตือนจำกัดความเร็วของรถ MINI F56 จะเป็นระบบใหม่ สามารถใช้งานร่วมกับฐานข้อมูลการจำกัดความเร็วของทางหลวงต่างๆ ได้จากฐานข้อมูลในแผนที่ GPS และเตือนคนขับโดยอัตโนมัติ ซึ่งระบบนี้จะทำงานร่วมกับเซนเซอร์น้ำฝน เตือนความเร็วที่ระดับที่ต่ำลงเมื่อฝนตก หรือสภาพพื้นถนนลื่นได้อย่างอัตโนมัติ
ที่เก่งไปกว่านั้นคือ กล้องที่ติดตั้งอยู่ด้านหน้าตัวรถ นอกจากจะช่วยเตือนการชนแล้ว มันยังสามารถตรวจจับป้ายจราจรที่จำกัดความเร็วได้อีกด้วย โดยจะอ่านค่าและมาประมวลผลใช้กับระบบเตือนจำกัดความเร็วทันที และยังสามารถตรวจจับได้ทั้งเวลากลางวันและกลางคืน
*ยังไม่มีข้อมูลว่าระบบนี้สามารถตรวจจับป้ายจราจรในประเทศไทย รวมถึงจะสามารถใช้งานกับระบบแผนที่นำทางในประเทศไทยได้หรือไม่ หากมีข้อมูล ผมจะรีบนำมาอัพเดทนะครับ*
Video-based speed and distance regulation.
ระบบอัจฉริยะที่มาแทนระบบ Cruise Control ปกติ คือระบบที่ MINI เรียกว่า Video-based speed and distance regulation ซึ่งถ้าอธิบายให้เข้าใจง่าย มันแทบจะเป็นระบบช่วยขับรถให้แบบอัตโนมัติเลยล่ะครับ ซึ่งการขับรถบนทางหลวงระยะไกล เราสามารถตั้งความเร็วที่ต้องการจะใช้ ได้ตั้งแต่ 30 – 140 km/h ซึ่งระบบจะทำการล็อคความเร็วนั้นเอาไว้ (เหมือนกับ Cruise Control ปัจจุบัน) แต่หากกล้องด้านหน้ารถตรวจจับได้ว่ามีรถกีดขวางอยู่ด้านหน้าเรา ระบบจะลดความเร็วลงมาโดยอัตโนมัติ ให้สัมพันธ์กับสภาพการจราจร และจะเพิ่มกลับขึ้นไปเมื่อถนนโล่ง โดยคนขับสามารถที่จะกดเบรคหรือเร่งเครื่องเพื่อ overwrite ระบบได้ตลอดเวลา และหากรถด้านหน้าใช้ความเร็วที่ต่ำลง จนต่ำกว่า 30 km/h ระบบนี้จะปิดโดยอัตโนมัติ และส่งสัญญาณเตือนให้คนขับรู้ เพื่อขับขี่ในสภาพปกติต่อไป
ระบบนี้สามารถตรวจสอบรถที่อยู่ด้านหน้าเราได้ไกลถึง 120 เมตร และสามารถตรวจสอบได้ว่ารถคันนั้นกำลังวิ่งอยู่หรือจอดอยู่กับที่ รวมถึงตรวจสอบรถที่กำลังเปลี่ยนเลนเข้ามา หรือเปลี่ยนเลนออกไปได้ด้วย ทำให้ระบบสามารถตอบรับกับสถานการณ์นั้นๆ ได้อย่างแม่นยำครับ
Park assist.
ระบบช่วยจอดอัตโนมัติ เป็นจริงแล้วกับรถ MINI F56 โดยระบบสามารถช่วยจอดรถแบบ parallel parking (จอดเทียบฟุตบาท) เริ่มตั้งแต่การตรวจหาพื้นที่ที่สามารถจอดได้โดยอัตโนมัติเมื่อใช้ความเร็วต่ำกว่า 35 km/h ซึ่งระบบจะมองหาพื้นที่จอดรถที่มีความยาวเท่ากับรถ MINI ของเรา บวก 1 เมตร ที่เมื่อหาเจอแล้ว หน้าจอของตัวรถเราก็จะแสดงพื้นที่การจอด เพื่อให้คนขับกดปุ่มช่วยจอด จากนั้น ระบบจะควบคุมพวงมาลัย วงเลี้ยวทั้งหมดให้ โดยสิ่งที่คนขับต้องทำ คือควบคุมเบรคและคันเร่งเท่านั้น ตามขั้นตอนที่ปรากฏขึ้นบนหน้าจอของตัวรถ
หากสังเกตวงแหวนรอบหน้าจอ จะเห็นว่ามันสามารถแสดงไฟเป็นสีต่างๆ ได้ โดยหากระบบมีการเตือนที่สำคัญ หรือเตือนให้คนขับเบรค ก็จะแสดงเป็นสีแดงอย่างที่เห็นครับ
Rear view camera.
นอกจากระบบช่วยจอดแล้ว MINI F56 ยังมีกล้องบริเวณฝากระโปรงท้ายของตัวรถ เพื่อช่วยในการถอยจอด ซึ่งระบบจะช่วยคำนวนว่า การถอยจอดเข้าซองนั้น มีพื้นที่เพียงพอสำหรับรถของเราหรือไม่ รวมถึงเลนส์มุมกว้าง 120 องศา จะช่วยให้เรามองเห็นสิ่งกีดขวางที่อยู่ด้านท้ายของตัวรถได้ทั้งหมดในขณะที่ทำการถอยจอด เพิ่มความปลอดภัยมากกว่าระบบจอดด้วยเซนเซอร์ PDC ปกติทั่วไปที่ใช้ในปัจจุบัน
Digital headlight assist.
พัฒนาต่อยอดจากฝั่งแบรนด์ BMW ระบบไฟหน้าอัจฉริยะ ที่สามารถทำหน้าที่ในการส่องสว่างได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด โดยไฟหน้ารถจะทำการเปิดในระดับสูงสุด เมื่อกล้องด้านหน้าตัวรถตรวจจับแล้วว่าไม่มีรถอยู่ด้านหน้า ทั้งรถที่สวนมา และรถที่ขับอยู่ในทิศทางเดียวกับเรา ซึ่งระบบนี้สามารถตรวจจับไฟหน้าของรถที่วิ่งสวนมาได้ไกลถึง 1 กิโลเมตร และตรวจจับไฟท้ายของรถที่วิ่งในทิศทางเดียวกับเราได้ถึง 500 เมตร ซึ่งเมื่อระบบตรวจพบรถที่อาจวิ่งสวนมาหรือรถในทิศทางเดียวกับเรา ระบบจะลดระดับความสว่างของไฟหน้าลงโดยอัตโนมัติ เพื่อไม่ให้รบกวนสายตาของเพื่อนร่วมทาง ระบบนี้ถูกใช้ในรถยนต์ BMW รุ่นใหม่ๆ ในปัจจุบันแล้ว และจะถูกใช้กับ MINI F56 ตัวนี้ด้วย
เครื่องยนต์
สิ่งที่เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง นอกเหนือจากที่ MINI จะแบ่งเครื่องยนต์ 1.5 ลิตร 3 สูบ สำหรับ Cooper และ 2.0 ลิตร 4 สูบสำหรับ Cooper S แล้ว คือเครื่องยนต์ทุกรุ่นจะมาพร้อมกับ MINI TwinPower Turbo ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพเครื่องยนต์ โดยเฉพาะในรุ่น Cooper ที่จะมีความแรงกว่า Cooper ปัจจุบันค่อนข้างมาก เพราะนี่จะเป็นครั้งแรกที่โมเดล Cooper มีเทอร์โบติดมาให้เลย
เทคโนโลยีที่ใช้ในเครื่องยนต์ใหม่ การจ่ายน้ำมัน direct injection, ระบบควบคุมเพลาแปรผัน dual VANOS (ที่เคยเปิดตัวไปกับ BMW หลากหลายรุ่นก่อนหน้านี้) รวมถึงระบบวาลว์แปรผันเต็มระบบ VALVETRONIC ของ BMW เช่นกัน และ ปริมาณไอเสียที่เกิดจากเครื่องยนต์รหัสใหม่นี้ ได้มาตรฐาน EU6 ซึ่งถือเป็นมาตรฐานสูงสุดในปัจจุบัน ที่จะเริ่มบังคับใช้ในยุโรปเดือนกันยายน 2014 โน่น
ตัวเลขความแรงที่ MINI เคลมไว้ใน 2014 MINI F56 คือ
– 136 แรงม้า ในเครื่องยนต์ 1.5 ลิตร 3 สูบ ทวินพาวเวอร์เทอร์โบ สำหรับ MINI Cooper
– 192 แรงม้า ในเครื่องยนต์ 2.0 ลิตร 4 สูบ ทวินพาวเวอร์เทอร์โบ สำหรับ MINI Cooper S
และตัวเลขแรงบิดหรือ torque ที่เคลมไว้ใน 2014 MINI F56 คือ
– 220 Nm ที่ 1,250 รอบต่อนาที (230 Nm เมื่อ overboost) ในเครื่องยนต์ 1.5 ลิตร 3 สูบ ทวินพาวเวอร์เทอร์โบ สำหรับ MINI Cooper
– 280 Nm ที่ 1,250 รอบต่อนาที (300 Nm เมื่อ overboost) ในเครื่องยนต์ 2.0 ลิตร 4 สูบ ทวินพาวเวอร์เทอร์โบ สำหรับ MINI Cooper S
ในขณะที่ขีดเรดไลน์ หรือรอบเครื่องยนต์สูงสุดของทั้ง 2 เครื่องยนต์ อยู่สูงถึง 6,500 รอบต่อนาที!
เมื่อดูกันที่ตัวเลขแรงบิดหรือ torque แล้ว ต้องบอกเลยว่า MINI F56 นี่จะมีความแรงที่เปลี่ยนไปจาก R56 ในปัจจุบันค่อนข้างมาก โดยเฉพาะ MINI Cooper ที่มีตัวเลขแรงบิดสูงขึ้นกว่าเดิมราวๆ 30% ทีเดียว
ส่วนของเครื่องยนต์ดีเซล ที่จะใช้ใน MINI Cooper D นั้น ทาง MINI ยืนยันว่าจะใช้เครื่องยนต์ดีเซลรหัสใหม่ 1.5 ลิตร 3 สูบ คอมมอนเรล direct injection ความแรง 116 แรงม้า ให้แรงบิดสูงสุดที่ 270 Nm มีประสิทธิภาพที่สูงกว่าเครื่องยนต์ดีเซลปัจจุบันราว 7%
ยังไม่มีการเคลมตัวเลขอัตราการประหยัดน้ำมัน ณ วันนี้ครับ
ชุดเกียร์
ในส่วนของชุดเกียร์ ที่หลายคนเก็งไว้ว่า F56 จะใช้เกียร์อัตโนมัติ 8 สปีดนั้น มาวันนี้ยืนยันแล้วว่า MINI F56 จะยังคงใช้ชุดเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีดเช่นเดิม แต่มีการปรับจูนให้มีความเร็วของชุดเกียร์ที่มากขึ้น รวมถึงจะมีออพชั่นเกียร์ Sport Automatic เพิ่มเข้ามา และมีออพชั่น Launch Control ด้วย ในขณะเดียวกัน แป้น Paddle Shift ที่พวงมาลัย จะมีการเปลี่ยนจากแบบ ดึง/ผลัก (เปลี่ยนเกียร์ขึ้น/ลง) มาเป็นแบบ ดึง/ดึง (เปลี่ยนเกียร์ลงด้วยแป้นซ้าย/เปลี่ยนเกียร์ขึ้นด้วยแป้นขวา)
ในส่วนของเกียร์ธรรมดา ใน 2014 MINI F56 จะมีการปรับปรุง เพิ่มเทคโนโลยีให้มีการแมตช์รอบเมื่อเปลี่ยนเกียร์ลงโดยอัตโนมัติ ซึ่งเทคโนโลยีนี้เราได้เห็นใน BMW M มาก่อนหน้านี้แล้ว
ตัวถังและช่วงล่าง
ใน MINI F56 นี้ MINI ได้ใช้ตัวถังใหม่ทั้งหมด เรียกว่าไม่มีการใช้อะไหล่ร่วมกับ MINI ในเจเนอเรชั่นปัจจุบันเลย มีการออกแบบโครงส้รางให้มีความแข็งแรง น้ำหนักเบา และออกแบบโดยคำนึงถึงหลักอากาศพลศาสตร์ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการขับขี่ และเพิ่มอัตราการประหยัดน้ำมัน ส่วนระบบช่วงล่างคู่หน้าเป็น single-link และคู่หลังเป็น multi-link ซึ่งสร้างความแตกต่างจากคู่แข่งทั้งหมด
ระบบพวงมาลัย มีการอัพเกรดระบบ EPS หรือ Electronic Power Steering แปรผันน้ำหนักพวงมาลัยตามเร็วของรถยนต์ให้ดียิ่งขึ้นกว่าเดิม ช่วยเพิ่มความสะดวกสบายในการขับขี่รวมถึงความปลอดภัยของรถยนต์ โดยระบบนี้รองรับกับระบบช่วยจอด ที่จะมีมาเป็นออพชั่นให้กับ F56 ด้วย
ที่โดดเด่นอีกจุดหนึ่ง เห็นจะเป็นระบบช่วงล่างไฟฟ้าที่สามารถปรับได้ โดยเบื้องต้นจะปรับได้ 2 โหมด คือโหมด Sport และโหมด Comfort ซึ่งถือเป็นครั้งแรกของรถ MINI ที่มีออพชั่นการปรับช่วงล่างไฟฟ้า เพื่อเพิ่มความสบายในการขับขี่ในสภาวะผิวถนนไม่เรียบ
นับถอยหลัง All New 2014 MINI F56 จะเปิดตัวอย่างเป็นทางการในวันที่ 18 พ.ย. นี้ ที่โรงงาน BMW Group Plant Oxford ซึ่งข้อมูลอย่างเป็นทากงารทั้งหมดจะเป็นอย่างไร อย่าลืมติดตามกันอย่างใกล้ชิดนะครับ