
MINI Connected คือฟีเจอร์ที่โดดเด่นที่สุดฟีเจอร์หนึ่งของรถ MINI ตั้งแต่โมเดลปี 2010 เดือนกันยายนเป็นต้นมาครับ (รถ MINI ที่ผลิตก่อนหน้านั้น จะไม่มีออปชั่นนี้ และไม่สามารถอัปเกรดให้มีได้) โดย MINI Connected จะทำงานร่วมกัน 2 ส่วน คือ ตัวรถ MINI ที่มีออปชั่น MINI Connected กับตัวเครื่องโทรศัพท์มือถือ ที่มีแอป MINI Connected ซึ่งปัจจุบันรองรับเฉพาะ iPhone เท่านั้น
MINI Connected ทำอะไรได้บ้าง?
MINI ใส่ใจกับรายละเอียดของ MINI Connected มากๆ ครับ ถ้าผมจะบอกว่านี่คือสิ่งที่ MINI Connected ทำได้ หลายคนอาจจะตกใจไม่น้อย
– โพส Facebook ให้เราได้
– เล่นเกมกับมัน โดยใช้การขับขี่ MINI จริงๆ มาเป็นตัวคำนวนคะแนน
– ฟังวิทยุได้เกือบทุกสถานีทั่วโลก
– เช็คอิน foursquare ผ่านหน้าจอ โดยไม่ต้องแตะเครื่องโทรศัพท์มือถือเลย
– ส่งเสียงบอกให้เรารู้ถึงสภาพอากาศ ณ ตอนนั้น หรือความผิดปกติของเครื่องยนต์ได้ โดยไม่ต้องกดปุ่มใดๆ
– บอกปฏิทินนัดหมายได้
– อ่านทวีตจาก Timeline ใน Twitter ของเราได้
– ฯลฯ
นี่แค่น้ำจิ้มนะครับ เดี๋ยวเราไปเจาะลึกกันครับ ว่ามันทำได้อย่างไร และมีอะไรที่น่าสนใจซ่อนอยู่บ้าง
รถ MINI ของเราใช้ MINI Connected ได้หรือไม่?
วิธีการตรวจสอบง่ายที่สุดว่ารถ MINI ของเรามีออปชั่น MINI Connected หรือไม่ ก็ให้ดูที่หน้าจอของรถหน้าแรกครับ ถ้ามีโลโก้ MINI Connected แบบในรูปนี้ ก็แปลว่ามี ถ้าไม่มีเมนูนี้ ก็แปลว่าไม่มี อดใช้ครับ ง่ายนิดเดียว
ถ้าตัวรถมี MINI Connected แล้ว และมี iPhone อยู่กับตัวแล้ว ยังจำเป็นต้องมีอุปกรณ์จำเป็นอีก 1 อย่าง นั่นก็คือสายสัญญาณ ซึ่งถ้าจะใช้ฟังก์ชันต่างๆ ได้อย่างครบถ้วน ต้องใช้สายสัญญาณของ BMW/MINI โดยตรง ที่เรียกว่าสาย Y Cable แบบในรูปนี้ครับ (สามารถสั่งซื้อได้ที่ตัวแทนจำหน่ายรถ MINI) โดยปัจจุบันมีเฉพาะสายสำหรับ iPhone 4/4S เท่านั้น ถ้าใครใช้ iPhone 5 ต้องมีอะแดปเตอร์แปลงของ Apple มาแปลงอีกชั้นหนึ่ง โดย iPhone 5 จะยังไม่สามารถใช้งานฟังก์ชันบางอย่างของ MINI Connected ได้
นอกจากนี้ ยังมีสิ่งจำเป็นอีกอย่าง คือแอป MINI Connected ซึ่งสามารถดาวน์โหลดได้ฟรีจาก Apple App Store ค้นหาคำว่า MINI Connected และโหลดมาติดตั้งได้เลย
จากนั้นให้ทำการเสียบสาย Y Cable เข้ากับตัวรถ ทั้งช่อง USB และ AUX ส่วนปลายอีกด้านให้เสียบเข้ากับ iPhone ก็เป็นอันพร้อมใช้งาน
MINI Driving Excitement
ฟีเจอร์แรกที่จะพูดถึง ก็คือฟีเจอร์ที่เรียกว่า MINI Driving Excitement ครับ ชื่อก็บอกเลยว่าเกี่ยวข้องกับการขับขี่อย่างสนุกสนานและตื่นเต้นเร้าใจมากขึ้น เพราะ MINI Driving Excitement จะทำหน้าที่เหมือนเกม ที่มีการคำนวนเอาคะแนนต่างๆ มาจากพฤติกรรมการขับขี่ของเราจริงๆ โดยจะสะสมแต้มเพื่อเพิ่ม Level และยังมี Badge ต่างๆ ให้ได้สะสมกันด้วย
Driving Excitement มีการเก็บคะแนนทั้งหมด 4 อย่างครับ คือการเร่ง (Acceleration), การเบรค (Braking), การเปลี่ยนเกียร์ (Changing gear), และการเข้าโค้ง (Steering) โดยถ้ารถ MINI ของเราเป็นเกียร์ออโต้ ก็จะมีการเก็บคะแนนแค่ 3 อย่างเท่านั้น (ไม่มีคะแนนเปลี่ยนเกียร์) ซึ่งตัวรถจะมีการคำนวนอยู่ตลอด ว่าเราสามารถทำอัตราเร่งได้กี่คะแนน, การเบรคว่าเบรคได้อย่างเหมาะสมกับความเร็วหรือไม่ รวมถึงการเข้าโค้งด้วยความเร็วไม่สูงและไม่ต่ำเกินไป ซึ่งทั้งหมดนี้จะคำนวนภายใต้พื้นฐานของความปลอดภัยเป็นหลัก หากมีการเบรคกะทันหันหรือเบรครุนแรงเกินไป นอกจากจะไม่ได้คะแนนแล้ว ยังจะมีข้อความเตือนขึ้นมาอีกด้วยครับ
นอกจากนี้ ยังมี Badge ให้สะสม เช่น Badge ‘Catapult’ จะได้เมื่อมีการทำอัตราเร่งจาก 0-100 km/h ภายในเวลาที่กำหนด (แตกต่างกันไปในแต่ละรุ่นรถ MINI ที่เราขับ) หรือ Badge ‘Limit Pusher’ สำหรับรถมินิเกียร์กระปุก ที่จะได้ก็ต่อเมื่อเราเปลี่ยนเกียร์ที่รอบเครื่องยนต์ที่ระบบตั้งไว้ (5000rpm สำหรับเครื่องเบนซิน และ 3300rpm สำหรับเครื่องดีเซล) เป็นต้น
ในโหมดของ Driving Excitement ยังมีโหมดที่มีข้อมูลที่น่าสนใจ เช่น แรงบิด, แรงม้า, รวมถึงอุณหภูมิหม้อน้ำ ที่โดยปกติแล้วรถ MINI จะไม่ได้มีเป็นเข็มบอกไว้ครับ (ทำให้หลายคนสงสัยว่าจะดูอุณหภูมิหม้อน้ำได้จากตรงไหน) และที่เด็ดมาก คือมันมี Forcemeter บอกแรงหนีศูนย์กลาง เมื่อรถมีอัตราเร่ง หรืออยู่ในโค้งด้วย คล้ายกับที่อยู่ในรถแข่งเลยทีเดียว
MINIMALISM Analyser
อีกหนึ่งเกมจาก MINI Connected มีชื่อว่า MINIMALISM Analyser ครับ ซึ่งตรงกับคอนเซปต์ MINIMALISM ของรถ MINI ที่เน้นการขับขี่อย่างประหยัด โดยจะมีการเก็บคะแนนจากพฤติกรรมการขับขี่ 2 อย่าง คือการเร่ง (Acceleration) และการเบรค (Braking) ว่าเราสามารถขับด้วยอัตราเร่งและการเบรคที่นุ่มนวลต่อเนื่องได้นานกี่นาที แปลงค่าต่างๆ มาแสดงผลเป็นจำนวนดาว และเปรียบเทียบว่าเรามีโหลเลี้ยงปลาอยู่บนรถ แปลว่าถ้าเราขับได้นุ่มนวลเท่าไหร่ ก็จะยิ่งได้คะแนนมากขึ้นนั่นเองครับ
Dynamic Music
มาดูโหมดที่ให้ความบันเทิงบ้าง อย่างตัวแรกนี้คือ Dynamic Music ครับ ที่ไม่ใช่แค่การฟังเพลงแบบธรรมดา แต่เป็นเพลงที่จะเปลี่ยนจังหวะไปตามสภาพการขับขี่โดยอัตโนมัติ เช่นตอนรถติด เคลื่อนที่ช้า ก็จะเป็นโทนนึง ถ้ารถสามารถทำความเร็วได้ ก็จะเป็นอีกโทนนึง ซึ่งเราสามารถดาวน์โหลดเพลงที่รองรับโหมด Dynamic Music ได้จากแอพ MINI Connected ในเครื่อง iPhone
Web Radio
นอกเหนือจากฟังก์ชันวิทยุธรรมดาของรถยนต์แล้ว ถ้าเข้ามาที่เมนู Web Radio ของ MINI Connected ก็จะยิ่งสนุกครับ เพราะ Web Radio นี้แบ่งหมวดหมู่ให้เราได้ฟังวิทยุจากสถานีอะไรก็ได้ ในเมืองอะไรก็ได้ จากประเทศอะไรก็ได้ทั่วโลก! โดยอาศัยการฟังวิทยุผ่านสัญญาณอินเทอร์เน็ต จาก SIM Card ที่เราใส่ไว้ใน iPhone ครับ นั่นหมายความว่า จะมีการใช้ data streaming (ผ่านแพ็คเกจ 3G ที่เราใช้) ในการฟังวิทยุในโหมดนี้
การค้นหาสถานีวิทยุผ่าน Web Radio สามารถทำได้ง่ายครับ ไม่ว่าจะค้นหาชื่อสถานีเลย หรือจะค้นหาตามประเทศก็ได้ นอกจากนี้ ยังมีการจัดอันดับสถานียอดนิมให้เลือกฟังด้วย ส่วนคลื่นวิทยุของไทย ถ้ามาฟังผ่าน Web Radio ก็จะได้คุณภาพเสียงแบบดิจิทัล ซึ่งคมชัดกว่าฟังผ่านเสาวิทยุทั่วไปครับ แต่ต้องไม่ลืมว่า มีการใช้ข้อมูลวิ่งผ่าน 3G ในโทรศัพท์มือถือตลอดเวลาในโหมดนี้
Mission Control
อีกหนึ่งโหมดที่ผมคิดว่าเจ๋งมากๆ ใน MINI Connected คือฟีเจอร์ Mission Control ครับ ในโหมดนี้เมื่อเปิดการใช้งาน ตัวรถ MINI จะพูดคุยกับเราอยู่ตลอด โดยจะบอกถึงสถานะเครื่องยนต์, สภาพอากาศ รวมถึงบอกพฤติกรรมการขับขี่ของเราด้วย เช่น เมื่อเราขับเร็วเกินไป หรือ เข้าโค้งด้วยความเร็วสูงเกินไป ตัว Mission Control ก็จะส่งเสียงวี้ดว้ายออกมาให้เราได้ตื่นเต้นตามไปด้วย หรือ อาจจะคุยกับเรา ว่าวันนี้อากาศดีจัง หรือแม้กระทั่งเพิ่งเติมน้ำมันเสร็จใหม่ๆ มันก็จะบอกเราว่า มันอิ่มแล้ว พร้อมเดินทางต่อไปได้อีกกี่ร้อยกิโลเมตร เป็นต้น
ความสามารถอีกอย่างของ MINI Connected คือฟีเจอร์ด้านโซเชียลครับ ที่ตอนนี้มาแรงมากๆ ทั้ง Facebook, Twitter และ foursquare โดยที่เราสามารถล็อคอินด้วยบัญชี Facebook ของเรา และนำข้อมูลบน News Feed มาแสดงบนหน้าจอของรถได้เลย (เสียดายอย่างมากที่ไม่รองรับภาษาไทยครับ) โดยที่เราสามารถกด Like, อ่าน Comment ได้โดยไม่ต้องแตะโทรศัพท์มือถือเลย ทุกอย่างควบคุมผ่านจอยสติ๊กของรถยนต์ทั้งหมดครับ หรือถ้าไม่สะดวกจะอ่านข้อความที่หน้าจอ ก็ยังเลือกให้ MINI Connected อ่านออกเสียงให้เราฟังได้ด้วย (เฉพาะภาษาอังกฤษนะ)
ยังไม่พอแค่นั้น เพราะมันไม่ได้อ่านได้อย่างเดียว เราสามารถโพส Facebook ได้ด้วย โดยที่เราสามารถเลือกข้อความหรือพิมพ์ข้อความเอาไว้ล่วงหน้าในแอพก่อน และมาเลือกโพสเอาจากหน้าจอนี้ ซึ่งจะปลอดภัยกว่าการหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาพิมพ์ขณะขับรถมากครับ และที่เจ๋งสุดๆ คือมันสามารถดึงเอาข้อมูลแบบเรียลไทม์มาโพสให้เรา เช่นอุณภูมิภายนอกกี่องศา, น้ำมันเหลือในถังเท่าไหร่ หรือว่า ตอนนี้กำลังฟังเพลงอะไร
เช่นเดียวกับทวิตเตอร์ครับ ที่เราสามารถอ่านไทม์ไลน์, กด Favorite และ Retweet ได้ผ่านอินเตอร์เฟซบนหน้าจอโดยไม่ต้องแตะโทรศัพท์มือถือ และยังสามารถกดทวีตได้จากข้อความที่เราตั้งค่าไว้ล่วงหน้า รวมถึงให้ระบบอ่านทวีตออกลำโพงได้เราฟังได้เช่นเดียวกับ Facebook ครับ
foursquare
อีกหนึ่งโซเชียลมีเดียได้รับความนิยม คือ foursquare ที่เอาไว้เช็คอินสถานที่ต่างๆ ใครที่ใช้ 4sq อยู่ต้องชอบครับ เพราะมันสามารถกดเช็คอินผ่านหน้าจอ MINI ได้เลยโดยไม่ต้องกดมือถือ สามารถค้นหาสถานที่ใกล้เคียงมาแสดงได้ (แต่ไม่รองรับภาษาไทย) รวมถึงสามารถอ่าน Tips ต่างๆ ในสถานที่ได้ด้วย
Calendar
สำหรับคนที่มีตารางนัดหมาย ปฏิทินต่างๆ เซฟอยู่ในแอพ Calendar ของ iPhone ก็จะได้รับประโยชน์จาก MINI Connected ผ่านเมนู Calendar ด้วยครับ เพราะมันสามารถดึงเอาตารางรัดหมายของเรามาแสดงบนหน้าจอ และเลือกที่จะพูดบอกเราได้ด้วย ว่าวันนี้เรามีนัดอะไรบ้าง เก๋สุดๆ ไปเลยล่ะครับ
Plug-in (iPod Interface)
เมนูสุดท้ายที่จะพูดถึงวันนี้ คือเมนูที่ส่วนตัวผมใช้บ่อยที่สุดครับ นั่นก็คือเมนู Plug-in ที่ทาง MINI ร่วมกับ Apple ดึงเอาอินเตอร์เฟซของ iPod มาแสดงผลบนหน้าจอรถ MINI โดยตรง ซึ่งสามารถใช้งานร่วมกับ iPhone และ iPod Touch ได้เป็นอย่างดี นั่นคืออินเตอร์เฟซที่แสดง จะเหมือนกับที่เราใช้ฟังเพลงผ่าน iPhone / iPod Touch โดยตรงเลย รวมถึงชื่อเพลงภาษาไทยก็สามารถแสดงผลได้ด้วย และยังมีรูป album artwork, Playlist ต่างๆ ที่เราตั้งไว้ใน iTunes ก็เอามาแสดงได้ถูกต้องทั้งหมด
ใครที่เคยชินกับการเอา iPhone เสียบเข้าช่อง USB ของรถ MINI และฟังเพลงผ่านเมนู CD/Multimedia อาจจะเห็นว่ามันไม่สามารถแสดงผลภาษาไทยได้ครับ ต้องเอามาผ่านเมนู Plug-in ใน MINI Connected ถึงจะเห็นภาษาไทยและอินเตอร์เฟซแบบ iPod นะครับ
อีกหนึ่งข้อจำกัดของ Plug-in ก็คือ มันยังรองรับเฉพาะหัว 30-pin เท่านั้น (iPhone 3G / 3GS / 4 / 4S) การใช้หัวแปลง Lightning ไปใช้กับ iPhone 5 รวมถึง iPod Touch รุ่นใหม่ จะยังไม่สามารถใช้งาน Plug-in ได้ เพราะหัวแปลง Lightning ไม่รองรับฟีเจอร์ iPod Out ครับ
และนี่คือทั้งหมดของ MINI Connected หน้าจอดิจิทัลอัจฉริยะที่ใช้ได้ในประเทศไทยครับ (จริงๆ ยังมีฟีเจอร์เยอะกว่านี้มาก เช่นฟีเจอร์เรื่องแผนที่นำทาง, Google Send to Car, Google Search, ฯลฯ ที่ไม่รองรับกับพื้นที่ในประเทศไทย) ขอแนะนำว่ารถ MINI ของใครมีฟีเจอร์นี้ ควรหาสาย Y-Cable มาใช้ความสามารถของมันให้เต็มที่ และคุณจะสนุกกับการขับขี่ MINI มากขึ้นอีกไม่น้อยเลยทีเดียวครับ

