เริ่มวางขายและทะยอยส่งมอบแล้ว กับ MINI Clubman โฉมใหม่ล่าสุด ที่ได้ทำการเปิดตัวอย่างเป็นทางการไปในงาน Motor Expo 2015 ช่วงปลายปีที่ผ่านมา วันนี้ผมมีโอกาสได้ทดลองขับ MINI Copper S Clubman Hightrim สเปคที่วางขายในประเทศไทยกันก่อนใครเลยครับ จะน่าใช้ เหมาะกับตลาดเมืองไทยขนาดไหน มาดูกันเลย
MINI Clubman โฉมล่าสุด เป็นผลิตผลของการพัฒนาจาก MINI Clubman มาก่อนหน้านี้แล้วถึง 2 เจเนอเรชั่น นั่นคือ Mini Clubman Estate รุ่นคลาสสิคที่เปิดตัวตั้งแต่ปี 1969 จนเติบโตมาอยู่ภายใต้การดำเนินงานของ BMW Group และได้ทำการเปิดตัว MINI Clubman ในโฉม R55 ในปี 2008 จนล่าสุด มาเปิดตัว MINI Clubman โฉมใหม่ล่าสุด ภายใต้รหัสตัวถัง F54 ในปี 2015 และเริ่มส่งมอบให้กับตลาดประเทศไทยในช่วงต้นปี 2016 นี้เองครับ
รายละเอียดของ MINI Clubman ทั้งหมด ผมเคยนำเสนอไปแล้ว เมื่อครั้นที่ผมได้ไปร่วมงานเปิดตัว MINI Clubman ระดับนานาชาติ ที่ประเทศสวีเดนในช่วงเดือนตุลาคม 2015 ที่ผ่านมา พร้อมได้ทดลองขับ MINI Clubman โดยรอบกรุงสตอกโฮล์ม และได้รีวิวให้คุณผู้อ่านไปแล้วด้วยอย่างละเอียดยิบ (ใครยังไม่ได้อ่าน ขอแนะนำให้ตามไปอ่านกันก่อน >>ที่นี่<< นะครับ) แต่วันนี้ MINI Clubman รุ่นดังกล่าวได้เดินทางมาถึงประเทศไทย ด้วยสเปค และ ออปชั่นที่เหมาะสมกับการทำตลาดในประเทศไทยโดยเฉพาะ รวมถึงจะเป็นโอกาสอันดีที่ผมจะได้ทดลองขับในสภาพถนนของประเทศไทยอีกด้วย จึงขอนำมารีวิวให้ชมกันอีกครั้งในรีวิวชิ้นนี้
MINI Cooper S Clubman Hightrim
MINI Cooper S Clubman Hightrim รุ่นที่ผมได้ทดลองขับครั้งนี้ เป็น Clubman รุ่นท็อปสุดที่นำเข้าและจัดจำหน่ายโดย มินิ ประเทศไทย จากทั้งหมด 4 รุ่นย่อย โดยเปิดราคาที่ 3.288 ล้านบาทครับ มาในสีใหม่สุดพิเศษที่ออกมาใช้ใน MINI Clubman เพียงรุ่นเดียวเท่านั้น คือสีแดง Pure Burgundy ซึ่งเป็นสีของไวน์แดง อย่างที่เห็นนี้
เอกลักษณ์ที่โดดเด่นของ MINI Clubman โฉมใหม่นี้ แน่นอนว่ายังคงอยู่ที่บริเวณด้านท้ายของตัวรถ ซึ่งมีการออกแบบฉีกแนวจาก MINI รุ่นก่อนๆ ทั้งหมด ด้วยดีไซน์ไฟท้าย LED แนวนอน ลากยาวมาเจอกับมือจับฝากระโปรงท้าย ที่สามารถเปิดได้แบบตู้กับข้าว (หรือถ้าทางการหน่อย ก็จะบอกว่าเปิดแบบรถพยาบาล) พร้อมตัวอักษร Clubman วางทอดยาวอยู่กึ่งกลางตัวรถอย่างลงตัว
ด้านขวา มีระบุชื่อรุ่น Cooper S ตัวรูปแบบตัวอักษรที่เราคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี กระจกหลังถูกแบ่งออกเป็นสองชิ้นซ้ายขวา ตามลักษณะของประตูรถ และมีใบปัดน้ำฝนเป็นของตัวเอง 2 ข้าง และบริเวณไฟท้ายของ MINI Clubman นี้ จะใช้ไฟเบรกเป็นแถบไฟบนกันชนครับ ส่วนหลอดไฟชิ้นหลักด้านบน จะสว่างขึ้นเมื่อเปิดไฟหน้ารถ และเป็นตำแหน่งของไฟเลี้ยวและไฟถอย แยกกันอย่างชัดเจน ส่วนล่างของกันชนเป็นท่อไอเสียคู่ ที่เป็นเอกลักษณ์ของ MINI Cooper S มาตั้งแต่รุ่นแรก (ถ้าเป็นรุ่น Cooper และ Cooper D ก็จะมีท่อไอเสียเพียงข้างเดียว)
หากมองด้านข้างของ MINI Clubman ใหม่ จะพบว่า มันมีความยาวมากเอาเรื่องเลยทีเดียว เพราะนี่คือรถ MINI ที่มีความยาวมากที่สุดที่เคยผลิตมาครับ ด้วยความยาวกว่า 4,253 มิลลิเมตร (ยาวกว่า MINI Hatch ถึงกว่า 40 เซนติเมตร) ออกแบบให้หลังคามีความลาดเอียงไปด้านหลัง ตามสไตล์ shooting brake และมีประตูคู่หลังขนาดฟูลไซส์ เพื่ออำนวยความสะดวกสำหรับผู้โดยสารทุกคนด้วยความสบายสูงสุด
ครั้งแรกของรถยนต์ MINI ที่มีสิ่งนี้ครับ ครีบอากาศบริเวณหลังซุ้มล้อคู่หน้า ที่ MINI เรียกว่า air breather ช่วยให้การเคลื่อนตัวของอากาศดียิ่งขึ้นกว่าเดิมตามหลักอากาศพลศาสตร์ และยังช่วยเพิ่มความสปอร์ตให้กับตัวรถได้เป็นอย่างดี ส่วนล้อที่ให้มากับ MINI Cooper S Clubman Hightrim รุ่นนี้ มีขนาด 18 นิ้ว ใช้ยางขนาด 225/40 R18
ความลงตัวของสี Pure Burgundy คันนี้ คือการเอาสีเงินเป็นประกายสวยงามมาใช้กับกระจกมองข้างและหลังคา ตัดสลับกับสีตัวถังรถยนต์ได้อย่างกลมกลืน ส่วนครีบที่เห็นในรูปนั้น คือครีบบนหลังคาที่มาพร้อมไฟแสดงสถานะกันขโมย ที่จะกระพริบตลอดเวลาเมื่อทำการล็อกรถ ออปชั่นนี้ มินิ ประเทศไทย จัดมาให้เฉพาะในรุ่น Cooper S Clubman Hightrim ตัวท็อปสุดเท่านั้น
คอนเซ็ปต์ของ MINI Clubman รุ่นใหม่นี้ ออกมาเน้นย้ำถึงความสะดวกสบายของผู้ขับขี่และผู้โดยสารทุกคน เพื่อการใช้งานในชีวิตประจำวันได้อย่างไม่ติดขัด และเป็นรถที่เหมาะกับการใช้งานจริง โดยจะเห็นได้จากขนาดของตัวรถที่ขยายขึ้นมาจาก MINI รุ่นอื่นๆ ค่อนข้างมาก ประกอบกับประตูของผู้โดยสารแถวหลัง รวมถึงพื้นที่ภายในตัวรถที่มีมาให้อย่างเหลือเฟืออีกด้วย ลองดูความกว้างของพื้นที่ของทั้งผู้โดยสารแถวหน้าและแถวหลังดูสิครับ
การขึ้นลง ไม่มีปัญหาใดๆ กับพื้นที่ของประตูที่เปิดออกทั้งแถวหน้าและหลัง โดยเฉพาะแถวหลังนี่กว้างกว่าที่คิดมากครับ ประตูก็เป็นขนาดฟูลไซส์ ไม่แพ้กับรถซีดานขนาดปกติทั่วไป ด้านในแผงประตู มีช่องเก็บขวดน้ำขนาดใหญ่ได้แบบสบายๆ และยังเป็นตำแหน่งของลำโพง harman/kardon เพื่อความบันเทิงเต็มรูปแบบของผู้โดยสารแถวหลังอีกด้วย
เบาะที่นั่งภายใน เป็นเบาะหนังสี Pure Burgundy เช่นเดียวกับตัวรถ เบาหลังสามารถนั่งได้ 3 ที่นั่งแบบเต็มๆ มีเข็มขัดนิรภัยสำหรับผู้โดยสารทุกคน ผมลองนั่งดูแล้ว ให้ความสามารถจนลืมนึกไปว่านี่เป็นเบาะหลังของรถยนต์ยี่ห้อ MINI ไปเลยครับ (ใครที่มีความคิดฝังอยู่ว่า MINI นั่งเบาะหลังไม่ได้ หรือนั่งไม่สบาย ต้องคิดใหม่เมื่อเจอกับ Clubman รุ่นนี้)
ผู้โดยสารแถวหลัง มีแอร์ให้แล้วนะครับ (ออปชั่นที่ถูกเรียกร้องจาก MINI Countryman มาอย่างยาวนาน) พร้อมที่เสียบชาร์จไฟอีก 1 ตำแหน่งสำหรับผู้โดยสารแถวหลัง
สำหรับเบาะคู่หน้า ก็ถูกเพิ่มความพิเศษขึ้นไปอีก ด้วยดีไซน์ที่โอบรับกับผู้ขับขี่ที่มากขึ้นกว่าเดิม และเป็นครั้งแรกของรถยนต์ MINI ที่เพิ่มออปชั่นปรับไฟฟ้า (ใช่ครับ ไม่เคยมีเบาะ MINI ที่ปรับไฟฟ้ามาก่อนเลย) โดยมีเฉพาะในเบาะคู่หน้า เฉพาะในรุ่น Cooper S Clubman Hightrim ตัวท็อปออปชั่นนี้เท่านั้น
การปรับไฟฟ้าของเบาะ MINI Clubman นี้ สามารถปรับได้ 3 ส่วนหลัก คือปรับเอน / ปรับเลื่อนหน้า-หลัง / และปรับ Lumbar ซึ่งสามารถเซฟเป็น memory ได้ 2 โพรไฟล์ครับ สะดวกสบายมากทีเดียว
มาดูพื้นที่เก็บสัมภาระตอนท้ายกันบ้าง อย่างที่บอกไปครับว่าจุดเด่นของ MINI Clubman โฉมใหม่นี้ก็คือบั้นท้ายสุด sexy ของมันนี่แหละ สามารถเปิดออกได้แบบตู้กับข้าว โดยจะต้องเปิดทีละฝั่ง เริ่มจากบานขวาก่อนเสมอ
เมื่อเปิดฝากระโปรงท้ายออกมาทั้งสองข้าง ก็จะเจอกับพื้นที่เก็บสัมภาระขนาดใหญ่โตมากครับ โดยที่ไม่ต้องเผื่อพื้นที่ด้านหลังของตัวรถเอาไว้มากนัก เพราะการเปิดประตูลักษณะนี้ กินพื้นที่ด้านท้ายน้อยมากๆ และยังเข้าถึงพื้นที่เก็บสัมภาระได้อย่างสะดวก วางของชิ้นใหญ่ได้สบายๆ
Easy Opener
ฟีเจอร์เด็ดสุดๆ ของ MINI Clubman ตัวนี้ก็คือฟีเจอร์ที่เรียกว่า Easy Opener หรือการเปิดฝาท้ายโดยไม่ใช้มือครับ เราสามารถใช้เท้าไปเตะลอยๆ บริเวณด้านหลังกันชนเพื่อเปิดฝากระโปรงได้ หากมีกุญแจรถติดตัวอยู่ ซึ่งใช้งานได้อย่างยอดเยี่ยมในสถานการณ์ที่มือไม่ว่าง เช่นถือของ หรือ ถือถุงช้อปปิ้งมาเต็มไม้เต็มมือ ก็แค่เดินมาเตะลอยๆ แบบที่คลิปด้านบน เราก็สามารถวางของเพื่อเก็บในฝากระโปรงท้ายได้อย่างง่ายดาย โดยออปชั่นนี้ มีมาให้กับ MINI Clubman ทุกรุ่นย่อยที่วางจำหน่ายในประเทศไทยเลยล่ะครับ
พื้นที่เก็บสัมภาระ ที่มีความลึกอย่างมาก และยังสามารถยกพื้นขึ้นมาเพื่อเพิ่มพื้นที่เก็บได้อีก รวมแล้วสามารถเก็บได้สูงสุด 360 ลิตรแบบไม่พับเบาะ วางกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ๆ ได้ 3 ใบเลยล่ะครับ
และหากพับเบาะแถวหลังลงไปอีก ก็จะขยายพื้นที่เก็บสัมภาระทั้งหมดได้สูงสุดถึง 1,250 ลิตร จัดได้ว่าไม่ธรรมดาเลยกับรถยนต์ที่มีมิติของตัวรถโดยรวมกะทัดรัดแบบนี้
ภายในของตัวรถ ถูกออกแบบใหม่เช่นกัน เนื่องจาก Clubman มีการขยายความกว้างของตัวรถมากขึ้นทุกมิติ ทำให้ MINI มีพื้นที่ให้วางเส้นสายมากขึ้น ที่จะเห็นได้จากเส้นวงรีขนาดใหญ่ของคอนโซลหน้ารถ จัดวางได้อย่างลงตัวกว่ารุ่น Hatch อย่างชัดเจน ในขณะที่ยังคงความโดดเด่นของหน้าจาบริเวณกึ่งกลางตัวรถ ที่มีไฟ LED วงกลมปรากฏอยู่
พวงมาลัย ยังคงใช้พวงมาลัยเดียวกับ MINI Hatch ในเจเนอเรชั่นที่สาม (F56/F55) ครับ กระชับมือ พร้อมปุ่มมัลติฟังก์ชัน ปรับควบคุมระบบความบันเทิงของตัวรถ / โทรศัพท์ / ปุ่มสั่งงานด้วยเสียง และโหมด Cruise Control ได้จากการกดด้วยนิ้วโป้งของมือทั้งสองข้าง โดยที่ใน MINI Clubman ทุกรุ่นที่ขายในไทยนี้ ไม่มีออปชั่นของ Paddle Shift มาให้นะครับ หากจะปรับเปลี่ยนเกียร์แบบ manual ต้องไปปรับโยกจากคันเกียร์เอง
มองลึกผ่านพวงมาลัยเข้าไป พบกับมาตรวัดความเร็วเป็นวงกลม พร้อมเข็มวัดรอบประกบซ้อนอยู่ด้านซ้าย และไฟบอกระดับน้ำมันประกบอยู่ด้านขวา มีไฟบอกสถานะต่างๆ เกือบทั้งหมดของตัวรถปรากฏอยู่บริเวณนี้ พร้อมหน้าจอดิสเพลย์ขนาดเล็ก สำหรับบอกสถานะต่างๆ เช่นกัน โดยสามารถกดเปลี่ยนการแสดงสถานะนี้ได้จากปุ่มบนปลายก้านไฟเลี้ยว (ส่วนตัวผมชอบดีไซน์ของชุดหน้าปัดนี้มากครับ ออกแบบมาได้อย่างลงตัวมากทีเดียว)
หน้าจอ MINI Connected XL ขนาด 8.8 นิ้ว ที่คอนโซลกลาง รองรับการเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนทั้งระบบ iOS และ Android ผ่านแอป MINI Connected XL และแอป MINI Connected XL Journey Mate ได้จากพอร์ต USB ที่มีมาให้ มีไฟ LED อยู่ล้อมรอบหน้าปัด เพื่อบ่งบอกสถานะการทำงานของโหมดต่างๆ ที่สามารถปรับเปลี่ยนสีได้ตามความต้องการ พร้อมปุ่มช็อตคัต สำหรับควบคุมความบันเทิงของตัวรถ นอกจากนี้ MINI Cooper S Clubman ทั้งสองรุ่นย่อย ยังมาพร้อมกับระบบแผนที่นำทาง ที่รองรับทุกพื้นที่ในประเทศไทย อัปเดตแผนที่ฟรีตลอด 3 ปีจากทางมินิ ประเทศไทย
ใน MINI Cooper S Clubman Hightrim รุ่นท็อปออปชั่นนี้ จะมาพร้อมกับ Head-up Display ด้วยครับ ซึ่งรุ่นที่นำเข้าโดยมินิ ประเทศไทย จะได้ใช้งานอย่างเต็มประสิทธิภาพมากๆ เพราะมีการรองรับระบบแผนที่ไทยแล้ว การนำทาง ลูกศรบอกทางทั้งหมด ก็จะมาแสดงอยู่บนหน้าจอ Head-up Display ตัวนี้ด้วย ที่ใครได้ลองใช้แล้ว จะติดใจจนกลับไปใช้รถที่ไม่มี HUD แล้วรู้สึกอึดอัดเลยล่ะ
จอยสติ๊ก MINI Controller สำหรับควบคุมหน้าจอ รองรับการเขียนด้วยลายมือบนแป้นวงกลมของ Controller ทำให้การพิมพ์ หรือป้อนค่าต่างๆ ลงบนหน้าจอทำได้อย่างง่ายและสะดวกมากขึ้น
ครั้งแรกของรถยนต์ MINI อีกเช่นกัน ที่มี “เบรกมือไฟฟ้า” ติดมาให้กับ MINI Clubman ทุกรุ่นครับ เบรกมือไฟฟ้าตัวนี้ จะช่วยให้การจอดรถที่ต้องใช้เบรกมือมีความมั่นใจมากขึ้น ผมลองจอดในที่ลาดชันมากๆ และกดให้เบรกมือไฟฟ้านี้ทำงาน ก็พบว่ามันเอาอยู่ได้แบบสบายๆ และการปลดเบรกมือก็ทำได้โดยไม่ต้องออกแรงอะไรเลย นอกจากนี้ มันยังใช้งานเป็นเบรกฉุกเฉินได้อีกด้วย เพียงแค่เอานิ้วดึงเบรกมือไฟฟ้านี้ค้างเอาไว้ รถก็จะทำการเบรกฉุกเฉินให้จนหยุดสนิท (หัวทิ่มเลยล่ะครับ) ในกรณีที่เบรกหลักของตัวรถยนต์ทำงานผิดปกติในกรณีฉุกเฉินเท่านั้น
ปุ่มสตาร์ทรถ ยังคงอยู่ตำแหน่งกึ่งกลาง แต่มีการขยายความกว้างของคอนโซลมากขึ้น ทำให้สวิตช์และปุ่มต่างๆ ดู฿ไม่เบียดกันมากเกินไปนัก
วงแหวนสำหรับปรับโหมดการขับขี่ 3 โหมด คือ Mid / Green / Sport สามารถหมุนปรับได้จากฐานเกียร์เช่นเดียวกับมินิในเจเนอเรชั่นที่สาม (F56/F55) โดยที่ยังคงความชัดเจนในแต่ละโหมดได้เช่นเดิม ทั้งการประหยัดสุดๆ ในโหมด Green, การขับขี่ที่ให้ความสบายในโหมด Mid และการขับขี่แบบสปอร์ตเร้าใจมากขึ้นในโหมด Sport ที่เดี๋ยวผมจะสรุปให้ฟังในส่วนของการทดลองขับนะครับ
ที่พักแขนของ MINI Clubman ตัวนี้ ก็มีขนาดใหญ่ขึ้น และวางได้ถนัดมากขึ้นกว่ารุ่นก่อนๆ อย่างชัดเจนครับ โดยที่พักแขนนี้ สามารถเปิดยกขึ้นเพื่อใช้เก็บของได้ด้วย (ช่องลึกใช้ได้เลย)
Engine and Drivetrain
MINI Clubman ที่วางจำหน่ายในประเทศไทยอย่างเป็นทางการ มีทั้งหมด 4 รุ่นย่อยด้วยกันครับ แบ่งออกเป็น MINI Cooper , MINI Cooper D , MINI Cooper S และ MINI Cooper S Hightrim รุ่นท็อปออปชั่น ซึ่งมีรายละเอียดเครื่องยนต์ ดังนี้ (สามารถคลิ๊ก/แตะที่รูปเพื่อขยายเป็นรูปใหญ่ได้)
ที่น่าสังเกตคือ ในรุ่น MINI Cooper D และ MINI Cooper S (รวมทั้งหมด 3 รุ่นย่อย) มีการปรับเปลี่ยนมาใช้เกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด Steptronic เป็นครั้งแรกของ MINI แล้วครับ ทำให้การขับขี่มีความนุ่มนวลมากขึ้น ที่เดี๋ยวผมจะสรุปอีกครั้งในช่วงของการทดลองขับนะครับ
อีกหนึ่งจุดสังเกต คือในรุ่น MINI Cooper D เครื่องยนต์ดีเซล มีการใช้เครื่องยนต์ดีเซลคนละตัวกับ MINI Cooper D จากรุ่น Hatch (F56/F55) โดยขยับมาใช้เครื่องยนต์ดีเซล ทวินพาวเวอร์เทอร์โบ ขนาด 2.0 ลิตร 4 สูบ ให้กำลังสูงถึง 150 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 330 Nm เลยทีเดียว ถือว่าเป็น MINI เครื่องยนต์ดีเซลที่น่าใช้มากๆ ตัวหนึ่งเลยล่ะครับ
ส่วนรายละเอียดออปชั่นของทั้ง 4 รุ่นย่อยที่จำหน่ายในประเทศไทย เป็นไปตามนี้
ทดลองขับจริง
ทำความรู้จักกับ MINI Clubman กันพอสมควรแล้ว ก็ถึงเวลาที่จะได้ทดลองขับขี่บนพื้นฐานของการใช้งานจริงบนถนนในกรุงเทพมหานครกันครับ ผมก้าวขึ้นมานั่งในตำแหน่งของคนขับ เพื่อปรับตำแหน่งที่นั่งก็รู้สึกได้ทันทีว่า Clubman คันนี้เป็นมินิที่ไม่เหมือนกับมินิทุกคันที่ผมคุ้นเคยมาตลอดสิบกว่าปี ทั้งความกว้างของมิติภายในตัวรถ และเบาะที่นั่ง ที่มีความสบายมากขึ้นอย่างชัดเจน (ยิ่งได้ปรับที่นั่งด้วยระบบไฟฟ้าด้วยนะ ความดิบของรถมินิที่เรารู้จักมานาน.. มันหายไปเกือบหมดเลยล่ะ)
หลังจากปรับที่นั่งเข้าที่เข้าทางแล้ว เท้าซ้ายกดแป้นเบรค และใช้มือกดสวิตช์สีแดงที่คอนโซลกลางเพื่อสตาร์ทรถยนต์ เสียงเครื่องยนต์เบนซิน ทวินพาวเวอร์เทอร์โบ 2.0 ลิตร 4 สูบก็ดังขึ้นอย่างนุ่มนวล มีการเก็บเสียงของเครื่องยนต์ไม่ให้ดังเข้ามาภายในห้องโดยสารได้ดีขึ้นกว่ารุ่น Hatch เล็กน้อย จากผลของห้องเครื่องยนต์ที่ใหญ่ขึ้นนั่นเองครับ
การขับขี่ของ MINI Cooper S Clubman Hightrim คันนี้ ยังคงคาแรคเตอร์ของมินิเอาไว้หลายอย่างครับ ทั้งความเฉียบคมของพวงมาลัย ความมั่นใจของพละกำลังของตัวรถ และการเกาะถนน ที่เป็นคาแรคเตอร์อันโดดเด่นของมินิแทบจะทุกรุ่นในเจเนอเรชั่นปัจจุบัน ผมเริ่มขับด้วยโหมด MID หรือโหมดมาตรฐานของตัวรถก่อน ที่เป็นโหมดที่ให้ความสบายสูงสุดของ Clubman รุ่นนี้
แต่ดูเหมือนว่า “ความสบาย” จะเป็นสิ่งที่มินิพยายามโฟกัสอย่างมากกับ MINI Clubman โฉมใหม่นี้ครับ ความแข็งกระด้างของช่วงล่างถูกลดทอนออกไปอย่างมาก อาจเป็นเพราะอานิสงส์ของขนาดตัวรถ และ ฐานล้อที่ยาวขึ้นกว่ารุ่น Hatch ส่วนหนึ่ง และการปรับตั้งค่าช่วงล่างมาอีกส่วนหนึ่ง รวมไปถึงการปรับเปลี่ยนมาใช้ชุดเกียร์อัตโนมัติ Steptronic 8 สปีด (ใช้เกียร์ของ ZF) เป็นครั้งแรก จึงทำให้การขับขี่โดยรวมของ MINI Clubman รุ่นนี้ ไม่ส่งความเหน็ดเหนื่อยมายังตัวผู้ขับขี่และผู้โดยสารอย่างที่มินิรุ่นก่อนๆ ได้ทำเอาไว้ เหมาะกับการเดินทางด้วยระยะทางไกลมากขึ้น ซึ่งก็ถือว่าได้ออกแบบมาเหมาะสมกับจุดมุ่งหมายของตัวรถ ที่ออกแบบมารองรับกับจำนวนผู้โดยสารและสัมภาระ เพื่อที่จะออกเดินทางไปต่างจังหวัด หรือต่างเมืองโดยเน้นให้ “ความสบาย” มาก่อนสิ่งอื่น
แน่นอนว่า เมื่อมินิเริ่มเน้น “ความสบาย” ให้กับ MINI Clubman รุ่นนี้ ก็ย่อมต้องยอมแลกเปลี่ยนด้วยคาแรคเตอร์บางอย่างที่สูญเสียไปเช่นกัน สำหรับแฟนๆ มินิที่ชอบความเป็น “โก–คาร์ตฟิลลิ่ง” ของการขับขี่มินิในรุ่นก่อนๆ อาจจะต้องผิดหวังไปบ้าง เพราะ MINI Clubman ตัวนี้ ไม่ใช่มินิที่ออกอาการกระแทกกระทั้นให้เห็นอีกต่อไป แม้ผมจะขยับโหมดจาก MID มาเป็นโหมด Sport แล้วก็ตาม เสียงแผดจากท่อไอเสียรวมถึงเสียง popping noise ที่ควรจะดังเข้ามาเพิ่มการหลั่งอะดรีนาลีนของผู้ขับขี่ ก็เบาบางจนแทบไม่ได้ยิน ประกอบกับเกียร์ Steptronic 8 สปีด ก็อัตราทดก็ชิดลงมาพอสมควร อาการของการชิฟต์เกียร์แล้วกระแทกหลังติดเบาะ นี่ก็คาดหวังจาก Clubman ตัวนี้ไม่ได้เช่นกันครับ
แม้ว่า Clubman ตัวนี้จะเน้นความสบาย และลดฟิลลิ่งความสนุกสนานในการขับขี่มินิลงไปจากโฉม Hatch ที่เป็นออริจินัล แต่ความแรงจริงๆ ของมันก็ยังไม่น้อยหน้า MINI Cooper S ในเจเนอเรชั่นปัจจุบันนะครับ ตัวเลขความแรงที่เคลมไว้ ยังคงอยู่ที่ 192 แรงม้า เทียบเท่ากับโฉม Hatch นี่เอง แต่ด้วยขนาดของตัวรถและน้ำหนักตัวรถที่มากกว่า ก็ยังผลให้รู้สึกถึงความหนักของตัวรถที่มากขึ้นครับ (รวมถึงความยาวของตัวรถ ที่รู้สึกได้ชัดมากๆ เมื่อมีการเข้าโค้ง) สำหรับอัตราเร่งในการขับขี่ปกติ ยังคงให้ได้ในระดับที่มั่นใจได้ทุกสภาพการขับขี่ สัญลักษณ์ตัว S ที่กระจังหน้ารถยังการันตีถึงมาตรฐานนี้ได้เป็นอย่างดีครับ ผมทดลองกดหาความเร็วสูงสุดของ MINI Cooper S Clubman ตัวนี้ พบว่าผมสามารถพามันไปแตะตัวเลข 231 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้บนทางด่วน ดังนั้น ไม่ต้องกังวลว่ามันขับสบายและจะไม่แรง
ถ้าถามหาถึงความประหยัดบ้าง ต้องย้อนกลับไปถึงสเปคเครื่องยนต์ของมินิในเจเนอเรชั่นปัจจุบัน ที่มีการปรับเปลี่ยนมาใช้เครื่องยนต์ของ BMW Group แล้วทั้งหมด ว่าเป็นหนึ่งในชุดเครื่องยนต์ที่ดีที่สุดของโลก (และได้รับรางวัลการันตีอย่างมากมาย) ที่มีการบาลานซ์ระหว่างประสิทธิภาพ พละกำลัง และ ความประหยัดพลังงานได้อย่างลงตัว ผมได้คำนวนค่าเฉลี่ยของการขับขี่รถยนต์ MINI Clubman คันนี้จากทุกสภาพการทดสอบ พบว่า อัตราความสิ้นเปลืองอยู่ที่ประมาณ 10.7 กิโลเมตรต่อลิตร และหากวัดเฉพาะการขับขี่ในเมือง โดยไม่ใช้โหมด Sport ก็จะขยับขึ้นมาอยู่ที่ 12.9 กิโลเมตรต่อลิตรครับ ซึ่งทั้งหมดเป็นตัวเลขที่เกิดจากการใช้งานจริง ไม่ได้ตั้งใจขับเพื่อให้ได้ตัวเลขการประหยัดสูงสุดแต่อย่างใด
ฟังก์ชั่น Entertainment ในรถยนต์คันนี้ เป็นอีกหนึ่งจุดเด่นที่ผมชื่นชอบอย่างมาก เพียงเสียบสาย USB ปกติเพียงเส้นเดียว (ใช้สายไอโฟนที่ให้มากับตัวเครื่องได้เลย ไม่ต้องใช้สายพิเศษ) ก็สามารถเล่นเพลงต่างๆ จาก iTunes หรือแม้กระทั่งจาก Apple Music รวมถึงแอปฟังเพลงต่างๆ ผ่านทางตัวรถได้ทันที และยังสามารถใช้ปุ่มมัลติฟัง์ชั่นบนพวงมาลัย และจอยสติ๊ก MINI Controller ของตัวรถในการเลือกควบคุม เปลี่ยนเพลง เปลี่ยนระดับความดังเสียงได้อย่างเต็มรูปแบบ หน้าจอกึ่งกลางสามารถแสดงรูป Album ชื่อเพลงและศิลปินได้โดยไม่ต้องไปตั้งค่าอะไรให้วุ่นวาย จะเสียเพียงแค่หน้าจอทั้งหมดยังไม่สามารถแสดงผลภาษาไทยได้เท่านั้น
ระบบนำทาง MINI Navigation ที่ตอนนี้มีการรองรับแผนที่ในไทยอย่างเต็มรูปแบบแล้ว ก็สามารถใช้งานจริงได้อย่างราบรื่นมากๆ โดยเฉพาะการใช้งานผ่านแอป MINI Connected XL Journey Mate ที่ทำให้เราสามารถป้อนสถานที่ได้ง่ายๆ ผ่านการพิมพ์ลงมือถือ (รองรับการพิมพ์ชื่อสถานที่เป็นภาษาไทยด้วย) แล้วค่อยกดส่งพิกัดมายังตัวรถ เพื่อให้ระบบ Navigation ของตัวรถนำทางไปยังจุดหมายนั้นๆ และใน MINI Cooper S Clubman Hightrim รุ่นท็อปออปชั่นนี้ ก็ยังได้ประโยชน์จากหน้าจอ Head-up Display ที่เอาข้อมูลไปแสดงบนหน้าจอ HUD ช่วยให้การขับขี่ไปยังจุดหมายได้อย่างแม่นยำ และปลอดภัยมากขึ้นอีกด้วยครับ
สรุป
ก่อนจะพูดถึง MINI Clubman โฉมใหม่โดยสรุปนี้ ต้องพูดถึงการเติบโตของแบรนด์มินิก่อนครับ อย่างที่แฟนๆ มินิทราบดีว่า แบรนด์มินิ เพิ่งจะทำการรีแบรนด์ใหม่ ด้วยภาพลักษณ์ที่คลีนขึ้นกว่าเดิม มีความ minimal และมีความเติบโตเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น ไม่ดูขี้เล่นเหมือนก่อนหน้านี้แล้ว ซึ่งก็ตรงกับสิ่งที่มินิต้องการจะเริ่มสื่อสารกับ MINI Clubman ใหม่ตัวนี้แหละครับ ว่า MINI กำลังเติบโตขึ้นอีกระดับแล้วนะ และมันก็พร้อมจะเป็นแบรนด์ที่กลุ่มคนที่โตขึ้น จะมารักมันได้อย่างกลุ่มแฟนๆ มินิที่เหนียวแน่นกันมานาน
MINI Clubman ตัวนี้จึงเป็นผลลัพธ์ของการเติบโตขึ้นของแบรนด์ที่เห็นได้อย่างชัดเจนที่สุด และมินิเองก็ต้องการจะให้ภาพนี้ออกมาเด่นชัดที่สุดเช่นกัน ด้วยการทำให้ Clubman เป็นมินิที่เหมาะกับทุกคนมากขึ้น ขยายกลุ่มตลาดไปยังฐานของแฟนมินิที่ตอนนี้ต่างก็เติบโตขึ้น เริ่มเป็นครอบครัวที่มีสมาชิกมากขึ้น เพื่อที่จะใช้รถยนต์มินิในชีวิตประจำวันได้เหมือนเดิม จึงออกมาเป็น MINI Clubman ที่ออกมาตอบโจทย์กลุ่มแฟนมินิที่เติบโตขึ้นตามอายุของแบรนด์
แน่นอนว่า ความสะดวกสบาย และการที่มันจะใช้งานจริงในชีวิตประจำวันนั้น ต้องแลกมาด้วยคาแรคเตอร์บางอย่างของมินิที่อาจสูญเสียไป นั่นคือความสนุกสนานในการขับขี่บางส่วน แต่ถ้าพูดถึงเรื่องอรรถประโยชน์ของ MINI Clubman คันนี้ ต้องบอกว่ามันให้กลับมาอย่างครบถ้วน ตามสิ่งที่รถยนต์สำหรับครอบครัวขนาดเล็กควรจะต้องมี ไม่ว่าจะเป็นความสะดวกสบายในการใช้งานของผู้ขับขี่และผู้โดยสารทุกที่นั่ง พื้นที่เก็บสัมภาระ ความบันเทิงในตัวรถ เทคโนโลยีที่ใหม่และเหมาะสมกับยุคสมัย ไปจนถึงความสวยงาม และความคูลภายใต้แบรนด์ MINI ที่มีแฟนทั่วโลกหลงรักกับมัน
ผมได้ทดลองขับ MINI Clubman คันนี้อยู่หลายวัน มีทั้งคนรู้จักและไม่รู้จักเข้ามาทักในสถานที่ที่ผมขับไปจอด ซึ่งยอมรับกันตามตรงว่า ผมไม่ได้เห็นภาพนี้มาสักพักหนึ่งแล้ว (ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะวันที่ผมทดลองขับ แทบจะยังไม่มี Clubman รุ่นนี้วิ่งบนถนนประเทศไทยเลย) ส่วนมากมักจะถามว่ามันคือมินิรุ่นอะไร และส่วนหนึ่งก็ชื่นชมว่า “สีสวย” ในขณะที่ฟีดแบกผ่านทางโซเชียลมีเดียส่วนตัวของผมก็มีกระแสที่ค่อนข้างดีกับความสวยงามของบั้นท้าย MINI Clubman รุ่นนี้ รวมไปถึงยอดจอง MINI Clubman รุ่นนี้ในไทย ที่ตอนนี้ล้นออกไปจนต้องรอรับรถกันหลายเดือน จึงทำให้แฟนมินิพันธุ์แท้อย่างผมเริ่มเห็นด้วยกับการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ของแบรนด์มินิ ว่าถึงมินิจะกล้าฉีกแนว ชนิดที่เดิมพันกับ Brand Heritage ที่สร้างมานานกว่า 56 ปี ด้วยการทำให้มันเติบโตขึ้นไปอีกระดับ แต่กระแสที่ตอบรับกลับมา บ่งบอกได้ว่ามินิกำลังไปได้ถูกทาง และสร้างฐานแฟนกลุ่มใหม่ รวมถึงดึงฐานแฟนกลุ่มเดิมที่เติบโตขึ้นให้กลับมาได้อีกด้วย
MINI Clubman ใหม่นี้ ทางมินิ ประเทศไทยได้นำเข้ามาจำหน่ายทั้งหมด 4 รุ่นย่อย และเริ่มวางจำหน่ายแล้วที่ตัวแทนมินิอย่างเป็นทางการทั่วประเทศ ซึ่งทุกรุ่นมาพร้อมกับการรับประกัน (warranty) 5 ปี โดยไม่จำกัดระยะทางครับ
บทความโดย
อู๋ @spin9
ขอขอบคุณ
มินิ ประเทศไทย