Exclusive Review วันนี้ ผมพาแฟนๆ มินิไปที่ประเทศสวีเดนครับ ร่วมงานเปิดตัวและทดลองขับครั้งแรกของ MINI Clubman ใหม่ ที่รหัสพัฒนา F54 ที่มีการปรับปรุงใหม่ในทุกมิติ ซึ่งในรีวิวนี้ ผมจะพาไปรู้จักกับ MINI Clubman ใหม่กันอย่างละเอียดก่อนใครเลยครับ
MINI ได้ทำการเปิดตัว MINI Clubman ครั้งแรกในปี 2008 ภายใต้รหัสพัฒนา R55 ครับ ซึ่ง ณ ขณะนั้น MINI ได้ยึดเอาต้นแบบและชื่อมาจาก Mini Clubman Estate ในรุ่นคลาสสิคที่เผยโฉมครั้งแรกตั้งแต่ปี 1969 (ซึ่งแท้จริงแล้ว ถูกพัฒนามาจาก Morris Mini Traveller อีกที) โดยมีความตั้งใจให้เป็นรถยนต์มินิที่มีความเอนกประสงค์กว่ามินิโฉมดั้งเดิม มีมิติของตัวรถที่ยาวขึ้น และมีพื้นที่เก็บสัมภาระภายในที่มากขึ้น มีจุดเด่นคือฝากระโปรงท้ายใช้ประตูแบบรถพยาบาล หรือที่เราเรียกกันว่าประตูตู้กับข้าว แต่ตัวรถยังคงเอกลักษณ์ของรถยนต์มินิเหมือนเดิม ไม่ว่าจะเป็นเอกลักษณ์ในการขับขี่ และ คาแรคเตอร์ของตัวรถที่มีช่วง overhang สั้น, ล้อรถอยู่บริเวณมุมทั้งสี่ของตัวรถ และ ใช้การขับเคลื่อนล้อหน้า เหมือนกับมินิโฉมดั้งเดิม
MINI Clubman ในเจเนอเรชั่นก่อนหน้า (R55) ถูกออกแบบให้มีความยาวมากกว่ารุ่น Hatch (R56) อยู่ 28 เซนติเมตร มีการเพิ่มประตูขนาดเล็กไปบริเวณฝั่งขวาของตัวรถ เพื่อความสะดวกในการขึ้นลงของผู้โดยสารแถวหลัง และมีพื้นที่เก็บสัมภาระที่มากขึ้น ใช้ฝากระโปรงท้ายแบบ Barn Doors หรือ เปิดแบบตู้กับข้าว มีความโดดเด่นและได้รับการตอบรับจากแฟนๆ มินิทั่วโลกเป็นอย่างดี เพราะถือว่าเป็นมินิในเจเนอเรชั่นใหม่ที่ยกเอา Mini Clubman Estate ในรุ่นดั้งเดิมกลับมาทำใหม่อีกครั้ง ให้เหมาะกับการใช้งานในปัจจุบันมากขึ้น จนกระทั่ง MINI Clubman R55 หมดอายุขัยลง สิ้นสุดการผลิตไปเมื่อปีก่อน เพื่อเตรียมเปิดตัว MINI Clubman เจเนอเรชั่นใหม่ที่เราจะมารีวิวกันวันนี้ครับ
MINI Clubman ใหม่ มาในรหัส F54 โดยใช้พื้นฐานของเครื่องยนต์และเทคโนโลยีการผลิตของ MINI ในเจเนอเรชั่นที่สาม ซึ่ง MINI ได้คิดใหม่ ทำใหม่กับ MINI Clubman รุ่นนี้ ด้วยการตัดสินใจทำประตูสำหรับผู้โดยสารแถวหลังเป็นแบบขนาดปกติ ส่งผลให้ MINI Clubman ใหม่ มีมากถึง 6 ประตู (ประตูของผู้โดยสาร 4 บาน และ ประตูของฝากระโปรงท้ายอีก 2 บาน) และมีความยาวที่มากกว่ารุ่น Hatch 3 ประตู (F56) ถึงกว่า 40 เซนติเมตร ทำให้ MINI Clubman ใหม่นี้เป็นรถยนต์มินิที่มีความยาวมากที่สุดทันที (ยาวกว่า MINI Countryman เสียอีก)
นอกเหนือจากขนาดของ MINI Clubman ใหม่ที่เติบโตขึ้นตามยุคตามสมัยแล้ว ยังมีในส่วนของเทคโนโลยีที่มีการปรับปรุงใหม่ในทุกมิติครับ โดยอ้างอิงจาก MINI Hatch ในเจเนอเรชั่นล่าสุด (F56) เป็นส่วนมาก ทั้งในส่วนของตัวเลือกเครื่องยนต์ และ ระบบการขับเคลื่อน แต่ก็มีหลายส่วนเช่นกันที่มีการพัฒนาขึ้นมาใหม่ และถูกใช้กับ MINI Clubman ใหม่ตัวนี้เป็นครั้งแรก ซึ่งเดี๋ยวผมจะพาไปชมกันอย่างละเอียดเลยครับ
Design
เริ่มจากรูปลักษณ์ภายนอกของ MINI Clubman ใหม่ครับ ที่ถูกออกแบบใหม่ในทุกสัดส่วน เริ่มจากการขยายขนาดขึ้นทุกด้าน ที่ดูผิวเผินแล้ว หน้าตาของมันจะมีบางส่วนที่ใกล้เคียงกับ MINI Hatch F56 ก็ตาม แต่แท้จริงแล้ว MINI Clubman มีความกว้างของตัวรถที่มากกว่ารุ่น Hatch ถึง 9 เซนติเมตร ส่งผลให้กระจังหน้ารถมีการออกแบบใหม่ มีช่องรับอากาศที่ใหญ่ขึ้น และลงตัวมากขึ้นกว่าเดิม และยังเป็นครั้งแรกที่ MINI ได้เพิ่มช่องระบายอากาศหรือ air breather บริเวณด้านหลังของซุ้มล้อคู่หน้าด้วย
ด้านข้างของตัวรถ ถ้ามองเข้าไปตรงๆ จะรู้สึกว่าตัวรถมีความยาวมากๆ จนอาจจะผิดมิติความเป็น “มินิ” ไปเลยล่ะครับ เพราะนี่เป็นรถยนต์ MINI รุ่นที่ยาวที่สุด ด้วยการออกแบบให้เป็นรถยนต์สไตล์ shooting brake มีประตูคู่หลังในขนาดของรถยนต์ปกติ และพื้นที่เก็บสัมภาระก็ขยายขนาดให้มีความยาว ทอดไปจนถึงส่วนท้ายของตัวรถ ดูแล้วกลายเป็นรถยนต์ estate ขนาดเต็มตัว ที่ดูใหญ่กว่ามินิที่เราคุ้นเคยกันครับ
แต่พอมาดูที่ส่วนท้ายของตัวรถ ที่ถึงแม้ว่าจะมีการออกแบบใหม่ โดยเฉพาะไฟท้าย ที่ใช้ไฟท้ายแบบแนวนอน ผิดจาก MINI รุ่นอื่นๆ ที่ใช้ไฟท้ายแนวตั้งเกือบทั้งหมด แต่ก็ยังคงเอกลักษณ์ของ Clubman คือมีการใช้ฝากระโปรงแบบ Barn Doors หรือเป็นประตูสองบานซ้ายขวา เปิดออกแบบรถพยาบาล โดยมีด้านจับประตูขนาดใหญ่ วางขวางเป็นแนวนอนอยู่ พร้อมตัวอักษรกำกับชื่อรุ่น Clubman อย่างโดดเด่น
หลังคาของ MINI Clubman มีการเปลี่ยนเอกลักษณ์เสาอากาศยาวของรถยนต์ MINI มาเป็นเสาครีบฉลาม และเพิ่มหลอดไฟ LED สีแดงกระพริบที่บริเวณยอดสุดของเสาครีบฉลามนี้ เพื่อเป็นสีแสดงสถานะของสัญญาณกันขโมยเมื่อล็อกรถครับ
สีตัวถังของ MINI Clubman มีการเลือกใช้สีมาตรฐานเดียวกับรถยนต์ MINI รุ่นอื่นทั้งหมด 10 สี และเปิดตัวสีใหม่อีก 2 สี คือ สีเงิน Melting Silver และสีแดงเข้ม Pure Burgundy และวันนี้ผมมีโอกาสได้ทดลองขับรถยนต์ MINI Clubman ใหม่ ในสองรุ่น สองสีใหม่นี้เลยครับ
ฝากระโปรงท้าย ที่เป็นเอกลักษณ์ของ MINI Clubman ตัวนี้ สามารถเปิดออกได้ 3 วิธีครับ วิธีแรกก็ปลดล็อกและใช้มือเปิดจากปุ่มที่มือจับฝากระโปรงท้ายตามปกติ ซึ่งต้องเปิดบานขวาก่อนเสมอ ถึงจะสามารถเปิดออกได้
วิธีที่สอง ให้กดปุ่มเปิดฝากระโปรงท้ายที่รีโมทค้างไว้ ฝากระโปรงท้ายก็จะค่อยๆ เปิดออกเองทีละฝั่งครับ
และวิธีสุดท้าย เป็นวิธีที่เก๋ที่สุดของ MINI Clubman ตัวนี้เลยก็ว่าได้ เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่ MINI ได้เพิ่มฟีเจอร์ “Easy Opener” มาไว้ในรถยนต์ MINI เลยครับ นั่นคือถ้าคนขับมีกุญแจรถอยู่ในกระเป๋า ก็สามารถเปิดฝากระโปรงท้าย ด้วยการใช้เท้าเตะลอยๆ 2 ครั้ง 1 ครั้ง (รุ่นที่ทดสอบในรีวิว เป็นรุ่น pre-production ซึ่งถูกตั้งค่ามาให้เตะเท้า 2 ครั้ง แต่รุ่นที่จำหน่ายจริง เตะเพียงครั้งเดียวก็เปิดได้แล้ว) บริเวณใต้กันชนท้ายของรถ MINI Clubman เพื่อเปิดฝากระโปรงท้ายออกทีละฝั่ง ตามวิดีโอที่ผมทำให้ดูข้างล่างนี้
ฟีเจอร์ Easy Opener จะมีประโยชน์มากในสถานการณ์ที่เราถือของมาเต็มสองมือ และต้องการจะเปิดฝากระโปรงท้ายเพื่อเก็บของครับ นั่นคือเราสามารถเปิดฝากระโปรงท้ายของ Clubman ได้โดยไม่ต้องวางของก่อนเลยนั่นเอง ถือว่าสะดวก และมีประโยชน์มากทีเดียวล่ะครับ (ฟีเจอร์นี้ มีเฉพาะใน Clubman ที่มีออปชั่น Comfort Access เท่านั้น)
พอเปิดมาแล้ว พื้นที่เก็บสัมภาระในฝาท้ายของ MINI Clubman นี่ทำเอาผมตกใจครับ เพราะขนาดใหญ่โตอย่างไม่น่าเชื่อ และมีการออกแบบให้สามารถเก็บสัมภาระได้เยอะจริงๆ อย่างที่เห็นในรูป
บริเวณพื้นของที่เก็บสัมภาระ สามารถยกขึ้นได้ เพื่อเป็นช่องเก็บของที่ลึกลงไปอีก นอกจากจะเก็บของได้เยอะขึ้นแล้ว ยังช่วยไม่ให้ของที่เราเก็บกลิ้งไปมาได้ด้วยครับ
เบาะหลังสามารถพับลงได้ แบบ 40:20:40 ซึ่งหากพับเบาะหลังลงแล้ว MINI Clubman คันนี้ก็จะมีพื้นที่เก็บสัมภาระมากถึง 1,250 ลิตร
Interior
ภายในห้องโดยสารของตัวรถ มีการออกแบบแผงคอนโซลใหม่ทั้งหมด ด้วยพื้นที่ความกว้างที่มากขึ้นกว่า MINI ในรุ่น Hatch เดิม ทำให้ดีไซเนอร์มีพื้นที่ในการใช้เส้นสายมากขึ้น ขยายขนาดของคอนโซลกลาง โดยยังคงเอกลักษณ์ของหน้าจอวงกลม พร้อมปุ่มต่างๆ ในสไตล์ cockpit เอาไว้อย่างเดิม
ถ้ามองจากมุมกว้าง จะเห็นว่าดีไซเนอร์ของ MINI ได้วาดเส้นวงรีจากส่วนบนสุดของคอนโซลรถยนต์ พาดเส้นโค้งลงมาผ่านพวงมาลัย อ้อมใต้หน้าจอกลางของตัวรถได้อย่างสมบูรณ์แบบ และเป็นส่วนที่ลงตัวที่สุดของคอนโซลรถยนต์ MINI Clubman ใหม่ตัวนี้
พื้นที่ความกว้างที่เพิ่มเติมเข้ามา ทำให้ MINI Clubman มีช่องเก็บของเยอะขึ้น และใหญ่ขึ้นตามไปด้วยครับ ไม่ว่าจะเป็นช่องวางแก้วน้ำสองช่องตรงกลาง และยังมีช่องวางขวดน้ำที่แผงประตูทั้งสองฝั่งได้อีก เริ่มดูจะเป็นรถยนต์ MINI ที่อำนวยความสะดวกสิ่งต่างๆ มากขึ้น ใช้ประโยชน์ของความใหญ่ที่เพิ่มเข้ามาได้ทุกจุด
ส่วนใหม่ของ MINI Clubman ตัวนี้ คือเบรคมือครับ ที่ได้เปลี่ยนมาใช้เบรคมือไฟฟ้าในทุกรุ่น เพื่อลดความเกะกะของพื้นที่ระหว่างคนขับกับผู้โดยสาร และทำให้ภาพรวมของตัวรถดูเรียบร้อยมากขึ้นด้วย ซึ่งเบรคมือไฟฟ้าตัวนี้ สามารถทำได้เป็นได้ทั้งเบรคมือเมื่อรถจอดสนิท และเป็นเบรคฉุกเฉิน เมื่อต้องการหยุดรถกะทันหัน ด้วยการเอานิ้วดึงสลักเบรคมือไฟฟ้าขึ้นมาค้างไว้ ตัวรถจะทำการเบรคฉุกเฉินลงอย่างรวดเร็วจนรถจอดสนิทครับ (ผมลองแล้ว เบรคหัวทิ่มเลยล่ะ) วางอยู่คู่กับจอยสติ๊ก MINI Controller ระหว่างที่นั่งของคนขับและผู้โดยสารแถวหน้า
อีกส่วนที่มีการออกแบบใหม่เพื่อความสบายอย่างมาก ก็คือเบาะที่นั่งแบบใหม่ มีพื้นที่ที่มากขึ้นกว่าเบาะเดิม นั่งสบายกว่ามินิรุ่นอื่นๆ มากทีเดียว แถมยังมีออปชั่นสีเบาะใหม่ๆ มาให้เลือกด้วย โดยเฉพาะเบาะหนัง Leather Chester สีฟ้า Indigo Blue ตัวนี้ สวยจับใจมากๆ
เป็นครั้งแรกของรถยนต์ MINI ครับ ที่เพิ่มเอาออปชั่นของการปรับเบาะด้วยไฟฟ้าเข้ามา หลังจากที่ MINI ได้ใช้การปรับเบาะแบบ manual มาโดยตลอด ตอนนี้ใน MINI Clubman ใหม่ มีออปชั่นเบาะไฟฟ้า พร้อม profile มาให้เลือกใช้แล้ว ที่ถึงแม้ว่าจะยังไม่ค่อยคุ้นมือผมที่ปรับเบาะ MINI แบบ manual มาโดยตลอด เพราะแบบไฟฟ้าย่อมปรับได้ช้ากว่า แต่ก็มีความสะดวกสบายกว่า แลกกันไปครับ
พื้นที่สำหรับผู้โดยสารแถวหลัง พอเปิดประตูแล้ว จะเห็นว่ามันไม่ได้แคบเลยนะครับ แทบจะเป็นพื้นที่ของผู้โดยสารแถวหลังของรถยนต์ในไซส์ปกติเลย ขึ้นลงสะดวกเลยครับ ต่างจากรุ่น Hatch 5 ประตูที่มีพื้นที่ขึ้นลงแคบไปสักหน่อย
เบาะที่นั่งของผู้โดยสารแถวหลัง มีความกว้างแบบนั่งได้ 3 ที่นั่งเต็ม (ที่นั่งกลางอาจจะต้องเป็นคนตัวเล็กหน่อย) โดยไม่มีเพลากลางมาขวางบริเวณที่วางเท้า ลองนั่งจริงมีพื้นที่ legroom แบบเหลือเฟือ ไม่ต้องไปแย่งพื้นที่กับผู้โดยสารแถวหน้ามากนัก
หมอนรองคอของผู้โดยสารคนกลางในแถวหลัง สามารถพับขึ้นเพื่อหลบเป็นพื้นที่ให้คนขับได้มองกระจกหลังได้สะดวกและชัดเจนขึ้น เมื่อไม่มีผู้โดยสารนั่งกลางในแถวหลังด้วยครับ ออกแบบมาได้อย่างใส่ใจจริงๆ ส่วนพนักพิงของผู้โดยสารแถวหลัง ถูกตั้งขึ้นพอสมควรแบบเอนเบาะไปด้านหลังไม่ได้ครับ
ที่ผมชอบมากคือ MINI มีการเพิ่มช่องแอร์ให้กับผู้โดยสารแถวหลังแล้ว (จริงๆ ควรมีตั้งแต่ใน Countryman แล้วล่ะ) ทีนี้ก็ได้แอร์เย็นทั่วทั้งคันแบบสบายๆ ครับ แถมช่องจุดบุหรี่สำหรับเสียบชาร์จอุปกรณ์ต่างๆ มาอีก 1 จุดด้านหลัง สะดวกขึ้นมากเลยครับแบบนี้
LED Lightings
MINI Clubman ได้เพิ่มออปชั่น ใช้หลอดไฟเล่นกับการขับขี่ยามค่ำคืนเป็นครั้งแรกครับ นั่นคือไฟ LED บริเวณแผงประตูภายในทั้งสองข้าง ที่ใช้เทคนิคพิเศษในการฝังเอาหลอดไฟ LED ไว้ภายใน และสะท้อนออกมาเป็นลวดลายบนแผงพลาสติกของประตู ที่เราสามารถเลือกสีของไฟได้เหมือนกับสี ambient light ในห้องโดยสารของ MINI ในรุ่นก่อนๆ เพิ่มความสวยงามของห้องโดยสารภายใน Clubman ตอนกลางคืนมากทีเดียว
อีกส่วนหนึ่งคือไฟที่ฉายลงมาบนพื้นถนน เป็นโลโก้ MINI ครับ ซึ่งตำแหน่งของไฟนี้จะอยู่ใต้กระจกมองข้างฝั่งคนขับ และจะสว่างขึ้นเมื่อเราทำการปลดล็อกรถยนต์ เหมือนเป็นการฉายโลโก้มาต้อนรับเราก่อนที่จะเปิดประตูก้าวขึ้นรถนั่นเอง สว่างมาก ชัดมาก เก๋มาก และน่าจะสะกดสายตาคนที่อยู่รอบๆ บริเวณนั้นได้เป็นอย่างดีเลยครับ (ออปชั่นนี้มีใน Clubman นี้เป็นรุ่นแรกเช่นกัน)
Engine & Drivetrain
สำหรับตัวเลือกของเครื่องยนต์ MINI Clubman ได้เปิดตัวมาครบทุกไลน์ของเครื่องยนต์ ยกเว้น JCW ครับ นั่นคือมีครบทั้ง One, One D, Cooper, Cooper D, Cooper S และ Cooper SD ครับ แต่รุ่นที่เข้ามาจำหน่ายในประเทศไทยในเบื้องต้น (ได้รับการยืนยันจากมินิ ประเทศไทยแล้ว) ว่าจะมี 3 ตัวเลือกก่อน คือ MINI Cooper Clubman, MINI Cooper D Clubman และ MINI Cooper S Clubman ในรุ่นเกียร์อัตโนมัติทั้งหมด
สเปคเครื่องยนต์ที่ใช้ใน MINI Clubman ใหม่นี้ ยังคงยึดเอาพื้นฐานของเทคโนโลยีเครื่องยนต์ใน MINI เจเนอเรชั่นที่สาม หรือที่ใช้อยู่ใน MINI Hatch F56, F55 แทบทุกประการครับ แต่มีการปรับเปลี่ยนสเปคใหม่ในรุ่นเครื่องยนต์ดีเซล นั่นคือในรุ่น Cooper D Clubman ถูกเปลี่ยนมาใช้เครื่องยนต์ดีเซล ทวินพาวเวอร์เทอร์โบ 2.0 ลิตร 4 สูบ (แทนตัว 1.5 ลิตร 3 สูบในรุ่น Hatch) ขยับตัวเลขความแรงขึ้นไปเป็น 150 แรงม้า และมีแรงบิดสูงถึง 330 Nm
ส่วนในรุ่นเครื่องยนต์เบนซิน ยังคงยึดตามสเปคเดิมของรุ่น Hatch คือใน Cooper Clubman ใช้เครื่องยนต์เบนซิน ทวินพาวเวอร์เทอร์โบ 1.5 ลิตร 3 สูบ 136 แรงม้า และรุ่น Clubman Cooper S ใช้เครื่องยนต์เบนซิน ทวินพาวเวอร์เทอร์โบ 2.0 ลิตร 4 สูบ 192 แรงม้า
MINI Clubman จะเป็นครั้งแรกกับการเปลี่ยนมาใช้เกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด Steptronic ที่มาเป็นออปชั่น สำหรับ MINI Cooper D Clubman และ MINI Cooper S Clubman จากเกียร์สเปคมาตรฐานอัตโนมัติ 6 สปีด และโดยเฉพาะ MINI Cooper S Clubman จะมีตัวเลือกของเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด Steptronic แบบ Sport มาให้เลือกเพิ่มเติมด้วยครับ ส่วนการขับขี่จริงของเกียร์ออโต้ 8 สปีดในรถ MINI จะเป็นยังไง ผมสรุปให้ฟังในตอนท้ายนะครับ
Technical Specifications
Cooper Clubman |
Cooper D Clubman |
Cooper S Clubman |
||
Engine | ||||
Cylinders/layout/valves | 3/in-line/4 | 4/in-line/4 | 4/in-line/4 | |
Capacity | cm3 | 1499 | 1995 | 1998 |
Stroke/bore | mm | 94.6/82 | 90/84 | 94.6/82 |
Max. output | hp (kW) | 136 (100) | 150 (110) | 192 (141) |
at engine speed | rpm | 4400 | 4000 | 5000 |
Max. torque/revs | Nm/rpm | 220/1250 | 330/1750 | 280/1250 |
Compression ratio/ | :1 | 11 | 16.5 | 11 |
Transmission | 6-speed Steptronic | 8-speed Steptronic | 8-speed Steptronic | |
Performance | ||||
Max. speed | km/h | 205 | 212 | 228 |
Acceleration 0-100 km/h | sec. | 9.1 | 8.5 | 7.1 |
Fuel Consumption | ||||
Urban | l/100km | 6.3-6.1 | 4.9-4.7 | 7.2-7.1 |
Extra-urban | l/100km | 4.7-4.5 | 4.1-3.8 | 5.1-5.0 |
Combined | l/100km | 5.3-5.1 | 4.4-4.1 | 5.9-5.8 |
CO2 emissions | g/km | 123-118 | 115-109 | 137-134 |
Tank capacity, approx. | l | 48 | 48 | 48 |
Body | ||||
Length/Width/Height | mm | 4253/1800/1441 | 4253/1800/1441 | 4253/1800/1441 |
Wheelbase | mm | 2670 | 2670 | 2670 |
Unladen weigh EU | kg | 1395 | 1435 | 1465 |
Max. permitted weight | kg | 1890 | 1945 | 1960 |
Max. permitted load | kg | 530 | 530 | 530 |
Max. permitted axle load (front/rear) |
kg | 995/940 | 1045/940 | 1050/950 |
Luggage capacity | l | 360-1250 | 360-1250 | 360-1250 |
Accessories
นอกจากนี้ ในงานเปิดตัว ผมมีโอกาสได้เห็นอุปกรณ์เสริมและอุปกรณ์ตกแต่งที่ออกแบบมาสำหรับ MINI Clubman ใหม่นี้หลากหลายตัวครับ ไม่ว่าจะเป็น rack จักรยาน, rack หลังคา และอุปกรณ์เสริมหล่อหลากหลายชิ้น
และทีเด็ดของอุปกรณ์ตกแต่ง ก็คือ เจ้า Clubman สีแดง Chili Red คันนี้ เพราะนี่คือการเผยโฉมครั้งแรกของชุดแต่ง John Cooper Works ในรถ MINI Clubman นั่นเองครับ เป็นชุด aero part รอบคัน เสริมความดุดันให้กับ MINI Clubman ให้มีความสปอร์ตขึ้นมาพอสมควรเลย
ภายในของ MINI Cooper S Clubman ที่ตกแต่งด้วยชุดแต่ง John Cooper Works คันนี้ก็จัดเต็มมากๆ เลยครับ โดยเฉพาะเบาะที่นั่ง ที่ใช้แบบเดียวกับที่อยู่ใน MINI JCW ตัวเต็มเลย หล่อเหลามั่กๆ
International Media Launch – Stockholm, Sweden
ก่อนที่ผมจะพาไปทดลองขับเจ้า MINI Clubman รุ่นใหม่นี้ ผมอยากพาเข้ามาดูรายละเอียดส่วนลึกเพิ่มเติมของ Clubman กันก่อนครับ ซึ่งทาง MINI ได้จัดงานแถลงข่าวเปิดตัวเอาไว้ได้อย่างเก๋ไก๋ ที่บริเวณหอศิลป์และพิพิธภัณฑ์ Artipilag ชานเมือง Stockholm ประเทศสวีเดนนี่เอง
หน้างานมีการจัดแสดงรถยนต์ Mini Clubman Estate ตัวคลาสสิค ซึ่งถือว่าเป็นมินิรุ่นแรกที่ใช้ชื่อ ‘Clubman’ พร้อมกับ MINI Clubman ในเจเนอเรชั่นก่อนหน้า หรือ R55 จอดโชว์อยู่เช่นกัน ก่อนที่เราจะได้ไปเจอตัวจริงภายในฮออล์ที่จัดงานเปิดตัว
เมื่อเข้ามาในฮอลล์ ต้องยอมรับเลยครับว่า MINI ได้เปลี่ยนแปลงรูปแบบจากแบรนด์ที่เรารู้จักกันมานับสิบปี ขึ้นไปอีกระดับนึงแล้ว นอกเหนือจากการเปลี่ยนโลโก้ และ การสื่อสารให้มีความรู้สึก “เติบโต” ขึ้น ขาวสะอาดขึ้น และชัดเจนขึ้น สังเกตได้จากธีมของงานเปิดตัว Clubman ตัวนี้ได้เลยว่าดิสเพลย์ต่างๆ มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่แตกต่างจากแบรนด์ MINI ดั้งเดิมอย่างมีนัยสำคัญ
เวทีเปิดตัว MINI Clubman เป็นส่วนที่ผมชอบที่สุดครับ ด้วยรถยนต์ MINI Cooper S Clubman สี Burgundy Red จอดโดดเด่นอยู่ด้านซ้ายของเวที พร้อมกระจกแผ่นใหญ่ด้านบน ที่ทำให้เรามองเห็นมิติของตัวรถได้ทั้งคันจากการนั่งมองอยู่หน้าเวทีเพียงมุมเดียว เป็นไอเดียที่ยอดเยี่ยมมากจริงๆ
Andreas Lampka, Head of Communications MINI ขึ้นกล่าวแนะนำรถยนต์ MINI Clubman ที่เน้นว่าจะมาช่วยส่งเสริมตลาดกลุ่ม Premium Compact ให้กับแบรนด์ MINI ว่าทาง MINI เล็งเห็นถึงความสำคัญของตลาด Premium Compact เป็นอย่างมาก และคาดหวังว่าจะได้เห็นรถยนต์ในกลุ่มนี้ครองส่วนแบ่งการตลาดโลกสูงถึง 27% ในปี 2020 จึงไม่แปลกใจที่ MINI ก็อยากจะเป็นหนึ่งในตัวเลือกสำคัญของตลาดกลุ่ม Premium Compact นี้
Oliver Sieghart หัวหน้าฝ่ายออกแบบภายในของ MINI ผู้ออกแบบรถยนต์ MINI Clubman รุ่นนี้ ขึ้นมาให้ข้อมูลต่อ ถึงแนวคิดการออกแบบ รายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ของ MINI Clubman ที่ถูกเก็บข้อมูลจากความต้องการของตลาด มาปรับปรุงและเพิ่มเติมให้ MINI Clubman คันนี้มีความสมบูรณ์มากขึ้น รวมถึงมีการสาธิตฟีเจอร์ต่างๆ ที่ผมได้กล่าวไปในข้างต้นให้สื่อมวลชนทั่วโลกได้สัมผัสกันก่อนที่จะไปลองของจริง
Dr. Ernst Fricke ผู้อำนวยการโปรเจค MINI Clubman ขึ้นพรีเซนต์ถึงรายละเอียดทางเทคนิค เทคโนโลยี และ ออปชั่นต่างๆ ของตัวรถ และตัวเลือกในการปรับแต่งที่เปิดให้ลูกค้ามินิทั่วโลกได้ตกแต่งตามสไตล์ของตัวเองตามคอนเซ็ปต์ individualism ของ MINI ที่ยังคงสืบทอดมายังรถยนต์มินิทุกรุ่น
Test Drive
การทดลองขับรถยนต์ MINI Clubman ที่ประเทศสวีเดนครั้งนี้ ผมมีโอกาสได้ขับทั้งหมด 2 รุ่นครับ นั่นคือ MINI Cooper S Clubman เกียร์ธรรมดา 6-สปีด มาในสีเงิน Melting Silver และ MINI Cooper S Clubman เกียร์อัตโนมัติ 8-สปีด ที่เป็นเกียร์ชุดใหม่ล่าสุดของมินิ มาในสีแดงเข้ม Pure Burgundy ซึ่งเป็นสีใหม่ของ MINI ทั้งสองสี
วันแรกของการทดสอบ ทาง MINI จัดจุดรับรถทดสอบที่สนามบิน Stockholm-Arlanda ครับ โดยจัดกลุ่มสื่อมวลชนเป็นสองกลุ่ม กลุ่มหนึ่งจะได้ขับ MINI Clubman เกียร์ธรรมดาในวันแรก และอีกกลุ่มจะได้ขับเกียร์อัตโนมัติ ส่วนในวันรุ่งขึ้น ก็จะมีการสลับรถยนต์เพื่อให้ได้ทดสอบกันครบทั้งสองรุ่น
ผมได้เริ่มต้นจาก MINI Cooper S Clubman เกียร์ธรรมดา 6-สปีดครับ ที่ถึงแม้ว่ารถยนต์เกียร์ธรรมดาจะไม่มีโอกาสได้เข้าไปทำตลาดในประเทศไทย จากสภาพการจราจรและลักษณะการใช้งานที่ไม่เหมาะกับท้องถนนเมืองไทยเท่าไรนัก แต่ที่สวีเดนนี่ต่างกันมาก เพราะการใช้รถยนต์เกียร์ธรรมดา เป็นเรื่องปกติทั่วไป
MINI Cooper S Clubman คันแรกนี้ มาในสีเงิน Melting Silver ครับ (แปลเป็นไทยเป็นแบบบ้านๆ ว่า “เงินละลาย” หายไปกับสายลม 555) เส้นทางทดลองขับที่ MINI จัดไว้จะเริ่มต้นจากสนามบิน Stockholm-Arlanda ออกไปยังทิศตะวันออก ผ่านเส้นทางชนบทที่สวยงามชานเมือง Stockholm ทั้งหมู่บ้าน Vallentuna และ Vaxholm ก่อนที่จะอ้อมกลับมาสิ้นสุดที่โรงแรม Nobis ในเมือง Stockholm ในช่วงเย็น
ทันทีที่ได้ก้าวเข้ามานั่งอยู่ในรถ MINI Clubman ก็รู้สึกได้ทันทีครับว่าขนาดของตัวรถนั้นกว้างขึ้นมาก (เมื่อเปรียบเทียบจากฟิลลิ่งของรถยนต์ MINI รุ่นอื่นๆ) ทัศนวิสัยที่มองเห็นได้จากตำแหน่งของคนขับ มีความโปร่งมากขึ้น ด้วยอานิสงส์ของขนาดกระจกที่ใหญ่ขึ้นทุกด้าน
ปัญหาเดียวของทัศนวิสัยใน MINI Clubman คือกระจกมองหลังครับ ที่ถูกเบียดบังจากรูปทรงของประตู Barn Doors ของฝากระโปรงท้าย ส่งผลให้มีเส้นสีดำค่อนข้างหนาทีเดียว พาดลงมาตัดครึ่งมุมมองของกระจกมองหลัง จนอาจรู้สึกรำคาญบ้างในช่วงแรกๆ ของการขับขี่ และสังเกตได้ว่า เส้นนี้มีความหนากว่า MINI Clubman ในเจเนอเรชั่นก่อนหน้าอย่างชัดเจนครับ
ส่วนตำแหน่งที่นั่ง ที่ถึงแม้ว่าตัวรถจะมีขนาดใหญ่ขึ้น แต่ตำแหน่งความสูงของที่นั่งใน MINI Clubman นั้น ใกล้เคียงกับตำแหน่งของ MINI Hatch มาก จะรู้สึกก็เพียงความกว้างซ้ายขวา ที่โล่งขึ้นกว่าเดิม นั่งสบายขึ้น และการปรับเบาะที่นั่งด้วยไฟฟ้าเป็นครั้งแรกใน MINI ก็ทำให้แฟนมินิรู้สึกแปลกใหม่บ้างเล็กน้อย (เพราะมันปรับได้ช้ากว่าโยกด้วยมือ 555) ส่วนตำแหน่งพวงมาลัย ยังคงปรับด้วยมือแบบไม่พึ่งพาไฟฟ้าเหมือนเดิมนะครับ
เมื่อทำความคุ้นเคยกับตำแหน่งที่นั่ง และปรับกระจกต่างๆ เข้าที่เข้าทางแล้ว เท้าขวาเหยียบแป้นเบรค เท้าซ้ายเหยียบคลัตช์ลงไปจนสุด และกดสวิตช์ Start เครื่องยนต์สีแดงบริเวณปุ่มควบคุมกึ่งกลางคันโซลหน้ารถ เครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตร 4 สูบก็ติดขึ้น พร้อมที่จะออกเดินทาง
ผมเริ่มขับ MINI Cooper S Clubman เกียร์ธรรมดาคันนี้ด้วยโหมด Mid หรือโหมดมาตรฐานก่อนครับ ความรู้สึกแรกของการเป็นผู้ขับขี่ MINI Clubman ใหม่ ที่รับรู้ได้ทันทีจากการออกตัวเร่งขึ้น คือตัวรถมีน้ำหนักค่อนข้างมาก (น้ำหนักเท่าๆ กับ MINI Countryman เลย) แต่เครื่องยนต์เบนซิน Cooper S ที่ใช้ใน MINI Clubman ตัวนี้ เป็นเครื่องยนต์เดียวกับที่ถูกใช้ใน MINI Cooper S ในโฉม Hatch ที่มีน้ำหนักเบากว่าถึง 230 กิโลกรัม จึงทำให้รู้สึกว่า มันเป็น Cooper S ที่ไม่ได้แรงเท่ากับรุ่น Hatch อย่างสังเกตได้ชัดเจนพอสมควร
เกียร์ธรรมดา 6-สปีด ใน MINI Clubman ใหม่ตัวนี้ ถูกเซ็ตมาให้ขับได้ง่ายมากๆ มีตัวช่วยเราหลากหลายอย่างครับ ที่เป็นเทคโนโลยีสืบทอดมาหลากหลายเจเนอเรชั่นในรถยนต์ของ BMW Group ไม่ว่าจะเป็นการทำ rev match เมื่อเปลี่ยนเกียร์ลง หรือ ทั้งระบบ hill assist ที่ช่วยหยุดรถเมื่อออกตัวจากที่ลาดชัน รวมถึงคลัตช์ของรถยนต์ที่มีน้ำหนักกำลังพอดี ขับได้สบายๆ แบบไม่เมื่อย (ยกเว้นมาเจอสภาพรถติดแบบเมืองไทย คลัตช์ไหนก็เอาไม่อยู่หรอก)
สวีเดนเป็นประเทศที่มีข้อจำกัดเรื่อง speed limit อย่างเข้มงวดครับ ตลอดเส้นทางการทดสอบทั้งสองวัน จะเจอป้าย speed limit และกล้องตรวจจับความเร็วตลอดเส้นทาง แต่ก็ทำให้ได้เห็นฟีเจอร์ใหม่ของ MINI Clubman นั่นคือความสามารถในการตรวจจับป้ายจราจร จากเซ็นเซอร์ของกล้องหน้ารถ ทันทีที่เราขับผ่านป้ายจำกัดความเร็ว บนหน้าจอ Head-up display ของตัวรถก็จะแสดงป้ายความเร็วนั้นขึ้นมาควบคู่กับความเร็วปัจจุบันของตัวรถทันที ถือว่าสะดวกมากๆ และช่วยให้เราปลอดภัยมากขึ้นด้วย (ผมไม่แน่ใจว่าป้ายจำกัดความเร็วในไทย จะสามารถใช้ร่วมกับฟีเจอร์นี้ได้ด้วยหรือไม่นะครับ รวมถึง Clubman รุ่นที่นำเข้ามาจำหน่ายในประเทศไทยจะมีฟีเจอร์นี้ติดมาด้วยหรือไม่ ต้องรอมาทดสอบกันในไทยอีกครั้ง)
เส้นทางการทดสอบในช่วงแรก ที่ทีม MINI จัดไว้ที่สวีเดน นี่เหนือความคาดหมายของผมมากครับ เพราะเมื่อผมขับไปตามเส้นทางใน GPS ของตัวรถที่ถูกบันทึกไว้ ก็พบว่าเส้นทางชนบทที่ MINI เตรียมไว้นั้น มีจุดที่ต้องพารถ MINI Clubman ข้ามเรือเฟอร์รี่ด้วย ทั้งสวยงาม และเซอร์ไพร์สครับ บวกกับสภาพอากาศที่เป็นใจตลอดทริป อุณหภูมิประมาณ 12-14 องศาเซลเซียส เป็นหนึ่งในเส้นทางขับรถที่น่าประทับใจจริงๆ
ในวันแรกนี้ ผมได้ทดลองขับรถ MINI Clubman เป็นระยะทางรวมประมาณ 144 กิโลเมตร ก่อนที่จะมาสิ้นสุดที่โรงแรม Nobis ในเมืองหลวง Stockholm ด้วยความเร็วเฉลี่ยรวมไม่สูงมากนัก เพราะเป็นเส้นทางชนบทที่มีการจำกัดความเร็วประมาณ 60-80 กิโลเมตรต่อชั่วโมงเป็นส่วนมาก บวกกับช่วงขาเข้าเมือง Stockholm ในตอนเย็น สภาพการจราจรหนาแน่นเสียหน่อย จึงทำให้วันแรกนี้ยังเป็นการทดสอบแบบเบาๆ กันก่อน
วันรุ่งขึ้น ทาง MINI ได้ทำการสลับรถยนต์ให้เราได้ลองขับ Cooper S Clubman ในรุ่นเกียร์อัตโนมัติกันบ้าง คันนี้มาในสีแดงเข้ม Pure Burgundy ซึ่งถือว่าเป็นไฮไลต์ของการทดสอบเลยครับ เพราะนี่เป็นรถยนต์ MINI รุ่นแรก ที่เปลี่ยนมาใช้ชุดเกียร์อัตโนมัติ 8-สปีด ของ ZF ทดแทนเกียร์อัตโนมัติ 6-สปีด ที่ใช้อยู่ในรุ่น Hatch ผมเองก็สงสัยตั้งแต่เห็นรายละเอียดแล้วว่า เจ้าเกียร์ออโต้ 8-สปีด ที่ขึ้นชื่อเรื่องประสิทธิภาพ การเปลี่ยนเกียร์ที่ฉับไว และนุ่มนวล น้ำหนักชุดเกียร์ที่เบาลง และช่วยให้อัตราการสิ้นเปลืองน้ำมันดีขึ้น พอมาอยู่ในรถยนต์ที่มีคาแรคเตอร์โดดเด่นอย่างมินิ มันจะเป็นยังไงกันแน่
เส้นทางการทดสอบรถยนต์ MINI Clubman วันที่สอง เริ่มออกเดินทางจากโรงแรม Nobis ไปสิ้นสุดที่สนามบิน Stockholm-Arlanda โดยถูกจัดเส้นทางให้วิ่งอ้อมไปนอกเมืองทางทิศตะวันตก และอ้อมไปยังทิศเหนือของสนามบินก่อนที่จะวนกลับมาครับ ระยะทางรวมของวันนี้คือ 147 กิโลเมตร ใกล้เคียงกับวันแรก (แต่ไม่ต้องข้ามเฟอร์รี่แล้ว)
วันนี้เส้นทางมีส่วนของทางด่วนประกอบอยู่มากกว่าครึ่งเลยครับ ทำให้มีพื้นที่ได้รีดเอาความแรงของเครื่องยนต์เบนซิน ทวินพาวเวอร์เทอร์โบ 2.0 ลิตร 4 สูบ พละกำลัง 192 แรงม้าของ MINI Cooper S Clubman ออกมาได้อย่างเต็มที่หน่อย ซึ่งความรู้สึกที่ชัดเจนอย่างมาก คือมันดูเป็น Cooper S ที่ไม่ดุดันอย่างที่คาดไว้ อาจเป็นเพราะตัวรถที่มีน้ำหนักมากขึ้น และเกียร์ออโต้ 8-สปีด ก็ให้ความนิ่งเรียบในช่วงจังหวะการเปลี่ยนเกียร์กว่าเกียร์ Aisin 6-สปีดเดิมอย่างชัดเจนเช่นกัน ฟิลลิ่งที่ได้จาก Cooper S Clubman คันนี้ จึงมาพร้อมกับ “ความสบาย” มากกว่ามินิรุ่นอื่นๆ ครับ
นอกเหนือจากน้ำหนักที่มากขึ้นแล้ว MINI Clubman ยังพ่วงเอาความยาวที่มากขึ้นตามมาด้วย ซึ่งถ้าเปรียบเทียบกับ MINI ในรุ่น Hatch ที่เราคุ้นเคยกันมา อาจจะต้องปรับตัวเล็กน้อย ในการกะจังหวะให้มีความคุ้นเคยเสียก่อน แต่ถ้าคุณผู้อ่านที่กำลังเล็ง Clubman ตัวนี้ แต่ไม่ได้คุ้นเคยกับ MINI รุ่นอื่นๆ มาก่อน ก็อาจจะไม่มีปัญหาอะไรครับ เพราะถึงแม้ Clubman ตัวนี้จะใหญ่และยาวกว่ามินิตัวเดิมเยอะขนาดนี้ มันก็ยังถือว่าเป็นรถยนต์ Estate ที่มีขนาดเล็กกว่ารุ่นอื่นๆ ในตลาดเกือบทั้งหมดอยู่ดี
จังหวะการชิฟต์เกียร์ ของเกียร์อัตโนมัติ 8-สปีด นี่ต้องบอกว่ามันเรียบเนียนไร้รอยต่ออย่างมากครับ เป็นการ “เพิ่มความสบาย” โดย “ลดความสปอร์ต” ลงไป โดยเฉพาะในโหมด Mid ที่เห็นได้ชัดว่า MINI กำลังวาง Clubman ตัวนี้ให้อยู่ในอีกตำแหน่งหนึ่ง เน้นความสบายมากขึ้นในทุกมิติ และให้มันกลายเป็นรถยนต์ที่สามารถใช้เดินทางไกลๆ ได้ในทางปฏิบัติมากขึ้นกว่า MINI รุ่นอื่นๆ ทั้งหมด รวมถึง Countryman ด้วย ที่ถึงแม้จะใหญ่ แต่ก็ไม่ได้ให้ความสบายได้เท่ากับ Clubman คันนี้
ผมลองผลักวงแหวนที่ฐานเกียร์ มาลองใช้โหมด Sport ดูบ้าง ซึ่งทันทีที่ผลักมาใช้โหมด Sport ก็จะได้ยินเสียงจากเครื่องยนต์ดังขึ้นมา จากการใช้รอบเครื่องที่สูงขึ้น พวงมาลัยตอบสนองฉับไว และมีน้ำหนักมากขึ้นเล็กน้อย รวมถึงช่วงล่าง variable damper ที่ถูกปรับด้วยไฟฟ้า ก็แข็ง หนึบขึ้นโดยอัตโนมัติ แต่ก็ยังไม่ได้ให้อารมณ์สปอร์ตเทียบเท่ากับรุ่น Hatch อยู่ดี รวมถึงไม่ได้มีเสียง popping noise จากท่อไอเสียให้ได้ยินมากเท่าไรนัก
หากไปมองที่ตัวเลขในสเปค จะเห็นว่า Cooper S ใน Clubman นี้ มีตัวเลข performance ที่เป็นรอง Cooper S ในโฉม Hatch อยู่พอสมควร แต่ไปอัดหนักอยู่ในรุ่นเครื่องยนต์ดีเซลทั้ง Cooper D และ Cooper SD ที่วันนี้ผมไม่มีโอกาสได้ลอง เพราะในงานเปิดตัว MINI ได้จัดมาให้สื่อมวลชนทดลองขับเฉพาะรุ่นเครื่องยนต์เบนซินเท่านั้น ซึ่งเราจะคงจะต้องมารีวิวกันอีกครั้งเมื่อตัวเลือกของเครื่องยนต์ดีเซลเข้ามาทำตลาดในประเทศไทยอย่างเป็นทางการในช่วงปลายปีนี้นะครับ
น่าเสียดายเล็กน้อยครับ ที่รถยนต์ MINI Cooper S Clubman คันที่จัดทดสอบนี้ ไม่มีออปชั่นของแป้น Paddle Shift สำหรับเปลี่ยนเกียร์ที่พวงมาลัยมาให้ การทดสอบฟิลลิ่งเมื่อมีการเปลี่ยนเกียร์ของเกียร์อัตโนมัติ 8-สปีดตัวใหม่นี้ ผมเลยต้องไปชิฟต์เองที่คันเกียร์ที่สามารถผลักมาเป็นโหมด M และโยกขึ้นลงเพื่อเปลี่ยนเกียร์แบบ manual ได้ แล้วก็ค้นพบว่า การที่ MINI มีจำนวนเกียร์มากถึง 8 เกียร์ พอต้องมาชิฟต์เอง ก็เลือกชิฟต์กันไม่ถูกเหมือนกันล่ะครับเพราะอัตราการทดเกียร์จะก็ชิดเข้ามามากขึ้น จึงเหมาะที่มันจะเป็นโหมด full automatic ตามซอฟต์แวร์ที่คอมพิวเตอร์ของตัวรถตั้งค่ามามากกว่าที่จะต้องมาเปลี่ยนเกียร์เองบ่อยๆ (นั่นน่าจะเป็นเหตุผลที่ แป้น Paddle Shift ที่พวงมาลัยแทบจะไม่มีความจำเป็นเลย)
ในจังหวะที่ต้องมีการเร่งแซง เกียร์อัตโนมัติ 8-สปีดตัวนี้ สามารถชิฟต์จากเกียร์ 5 ลงมาเกียร์ 3 ได้เร็วกว่าจังหวะการกระพริบตาครับ ความสามารถในการเปลี่ยนเกียร์อย่างเร็วในระดับนี้ ไม่เคยมีในรถยนต์มินิรุ่นอื่นๆ มาก่อน ที่ถึงแม้ว่า MINI Clubman จะไม่ได้ถูกเซ็ตอัปมาเพื่อการขับขี่ที่สนุกสนานเท่ากับรุ่น Hatch แต่อานิสงส์ของเกียร์ที่ฉลาดขึ้น และส่งเสริมต่อการขับขี่ที่ตอบสนองได้ไวขึ้น ก็ทำให้คาแรคเตอร์ของ MINI Clubman คันนี้น่าสนใจขึ้นมาไม่น้อยครับ
ผมขับมาสิ้นสุดการทดสอบรถยนต์ที่สนามบิน Stockholm-Arlanda ซึ่ง MINI ได้ยึดเอาส่วนหนึ่งมาเป็นฐานทัพสำหรับสื่อมวลชนในการทดสอบรถยนต์ MINI Clubman ในครั้งนี้ ผมลงจากรถ และคืนกุญแจให้กับทีมงาน MINI ด้วยความประทับใจ โดยมีข้อมูลอยู่เต็มหัวไปหมด เพื่อเรียบเรียงมาเป็นรีวิวชิ้นที่คุณผู้อ่านได้ติดตามกันอยู่นี้ ด้วยความที่ MINI Clubman เป็น MINI ที่มีความใหม่ โดดเด่นจาก MINI รุ่นก่อนๆ อยู่หลากหลายส่วน รีวิวชิ้นนี้เลยยาวหน่อยนะครับ
Wrap Up
MINI กำลังสร้างสิ่งใหม่ ไม่ใช่แค่ใหม่แต่ภายนอก แต่เป็นความใหม่ที่แฟนๆ มินิทั่วโลกต้องจับตามอง เริ่มตั้งแต่การเปลี่ยนแปลงการสื่อสารของแบรนด์ ที่ปรับใหม่ทั้งฟอนต์ รูปแบบ ธีม ที่เห็นได้ชัดว่าแบรนด์ “MINI” ที่เรารู้จักกันดี กำลังเติบโตขึ้น เป็นผู้ใหญ่มากขึ้น ซึ่งอาจจะดูไม่ขี้เล่นเหมือนเมื่อก่อน แต่ก็เป็นผู้ใหญ่ที่ดูดี มีสไตล์ และยังเป็นแบรนด์ที่อ้างอิงกับความมีศาสตร์และศิลป์อย่างมาก … มากกว่าทุกครั้งที่เคยเกิดขึ้นกับแบรนด์เล็กๆ แบรนด์นี้
MINI Clubman ใหม่ เปิดตัวมาด้วยการตอกย้ำทุกอย่างให้มีความ “practical” ใช้งานได้จริงในทุกๆ มิติมากขึ้นกว่ารถยนต์ทุกรุ่นของ MINI ในสายการผลิตปัจจุบัน โดยชัดเจนว่า กำลังกระโดดไปจับลูกค้าากลุ่มที่เน้นเรื่องของการใช้งานในชีวิตประจำวันมากขึ้น โดยเฉพาะ 2 เรื่อง คือ พื้นที่ใช้สอย และ ความสบายในการขับ(และนั่ง) ซึ่งจากที่ผมทดสอบดู ก็พบว่า MINI เอาชนะโจทย์สองข้อนี้ได้อย่างไม่ยากเย็นเลย แต่ก็ต้องยอมรับกันตามตรงว่า MINI Clubman สูญเสียคาแรคเตอร์ความเป็นสปอร์ตไปมากเช่นกัน ในการที่จะบรรลุโจทย์ของรถยนต์ Estate หรือสไตล์ shooting brake ไซส์เล็กคันนี้
สิ่งที่แลกกลับมาจากความที่ MINI Clubman ตัวนี้ไม่ได้มีอารมณ์สปอร์ตดุดัน เหมือนกับจิตวิญญาณ Cooper S ในรุ่น Hatch คงไม่ใช่แค่พื้นที่ใช้สอย หรือ ความสบายของทั้งคนขับและคนนั่งเท่านั้น แต่ MINI ตั้งใจไม่ให้ MINI Hatch และ MINI Clubman เป็นคู่แข่งกันเองอยู่แล้ว เพราะรถทั้งสองโฉมถูกกำหนดมาให้มีคาแรคเตอร์และตอบสนองต่อความต้องการที่แตกต่างกัน เมื่อเปิดตัวสู่ตลาดแล้ว ผมเชื่อว่า เราจะได้ยินคำถามว่าจะ “ซื้อ Hatch หรือ Clubman ดีนะ?” น้อยมากครับ
MINI Clubman ใหม่ เป็นผลิตผลแรก ของความเปลี่ยนแปลงในแบรนด์ MINI ครั้งใหญ่ ซึ่ง MINI กำลังบ่งบอกกับเรา และ แฟนๆ มินิทั่วโลก ว่า MINI กำลังมองตลาดภาพรวมอย่างมีกฎเกณฑ์มากขึ้น โดยมีการปักเสา 5 ต้น สำหรับตลาดรถยนต์ที่ตนเองต้องการจะผลิตอย่างชัดเจน นั่นคือรถยนต์ Hatch, Estate, Convertible, SUV และ เสาต้นสุดท้ายที่ยังเก็บไว้เป็นเซอร์ไพร์สอยู่ ซึ่งจะเปิดตัวครบถ้วนภายในปี 2020 … MINI Clubman ตัวนี้ เพิ่งจะเป็นเสาต้นที่สองของ MINI เท่านั้น ความตื่นเต้นของแบรนด์นี้ ยังถูกส่งต่อไปตามแผนระยะยาวของ MINI ที่น่าสนใจอย่างมาก
ใครอ่านมาถึงตรงนี้ แล้วรู้สึกว่า MINI Clubman นี่แหละ ตอบสนองต่อความต้องการได้ครบถ้วน หรือถ้าจะลงลึกหน่อย คือมันเป็นรถยนต์เอนกประสงค์ ขนาดไม่ใหญ่เทอะทะ ใช้งานได้จริงในหลากหลายสถานการณ์ และมันยังเป็นแบรนด์ MINI ที่มีความคูลอยู่ในตัวอย่างมาก ให้ลองหันไปมองรอบๆ ว่า คู่แข่งที่ทัดเทียมที่ตอบโจทย์ได้เท่ากัน จะโดนกับตัวไหนบ้าง … อาจจะไม่มีเลยก็ได้นะครับ … แต่ถ้าใครยังรักอารมณ์ “ขับสนุก” ฟิลลิ่งโกคาร์ตแบบจัดเต็มตามสไตล์มินิ โฉม Hatch ก็ยังคงเป็นคำตอบอยู่เช่นเดิม
MINI Clubman ใหม่ตัวนี้ จะเปิดตัวอย่างเป็นทางการในประเทศไทย ในงาน Thailand International Motor Expo 2015 ระหว่างวันที่ 1-13 ธันวาคมนี้ ที่ Impact Challenger เมืองทองธานี … ใครสนใจ ไปชมคันจริงได้ที่งาน พร้อมรอประกาศออปชั่นและราคาอย่างเป็นทางการอีกครั้งนะครับ
บทความโดย
อู๋ @spin9
ขอขอบคุณ
BMW Group Thailand