John Cooper Works (JCW)

ย้อนไปเมื่อปี 1956 ตั้งแต่ที่ Alec Issigonis ได้รับมอบหมายจาก British Motor Corporation (BMC) ให้ออกแบบรถยนต์ที่มีความประหยัด แต่ต้องมี 4 ที่นั่ง เก็บสัมภาระได้ จนเคาะออกมาเป็นรถมินิ ขับเคลื่อนล้อหน้า ล้ออยู่ที่มุมทั้งสี่ของตัวรถ มีส่วนที่ยื่นออกมาน้อยมากๆ ทำให้จุดศูนย์ถ่วงของรถอยู่ต่ำ ประกอบกับการได้ปรึกษาเพื่อนร่วมวงการอย่าง John Cooper (เจ้าของบริษัท Cooper Car Company) ที่ลงความเห็นว่า รูปทรงของมินิ จะไม่ใช่แค่รูปทรงที่มีความประหยัดหรือใช้สอยได้ดีเพียงอย่างเดียว แต่มันยังสามารถเป็นรถที่ขับสนุก มีความสปอร์ตเต็มตัว แตกต่างจากรถยนต์รุ่นอื่นๆ ในตลาดอย่างชัดเจนอีกด้วย นั่นเป็นที่มาของความสำเร็จของมินิ ในวงการ Motor Sport ในยุคนั้น จากการที่มินิกวาดแชมป์รายการ Monte Carlo Rally อย่างต่อเนื่องจากผลงานของ John Cooper มินิได้ใช้ชื่อรุ่น Cooper ในการผลิตและติดหูจนมาถึงทุกวันนี้

John Cooper จุดเริ่มต้นของสายเลือด JCW

John-Cooper

John Cooper เกิดที่เมือง Surrey ประเทศอังกฤษ เมื่อปี 1923 เป็นหนึ่งในตำนานของวงการมอเตอร์สปอร์ตที่นอกเหนือจะเป็นคนขับเองแล้ว ยังเป็นผู้สร้างอีกด้วย ในปี 1946 John Cooper ได้ร่วมมือกับ Charles Cooper พ่อของเขา ในการเปิดบริษัท Cooper Car Company เริ่มต้นผลิตรถ Formula 3 และ Formula 1 ในภายหลังด้วยคอนเซปต์การวางเครื่องยนต์ตรงกลาง ที่เป็นผู้นำเทรนด์นี้ในวงการมอเตอร์สปอร์ตจนได้รับรางวัลจากรถ F1 เครื่องวางกลางในปี 1959 และ 1960

จากการที่อยู่วงการนี้และได้แข่งขันมาอย่างยาวนาน ทำให้ John Cooper กับ Alec Issigonis เป็นเพื่อนสนิทกัน (เพราะ Cooper Car Company ได้มีการซื้อเครื่องยนต์จาก BMC อยู่บ่อยๆ) ถึงแม้ว่าทั้งสองคนจะมีมุมมองเกี่ยวกับรถยนต์ที่แตกต่างกันอย่างมาก Alec Issigonis กำลังวุ่นอยู่กับรถที่สามารถใช้งานในชีวิตประจำวันได้ดี ในขณะที่ John Cooper มุ่งหารถสปอร์ตที่มีความเร็ว ขับขี่สนุก

john-cooper-f3

ในปี 1959 ปีแรกของรถยนต์มินิ ทางฝั่งของ John Cooper ได้ส่งนักขับที่ชื่อ Roy Salvadori ไปขับรถยนต์ Mini Cooper คันแรก ที่ถูกปรับแต่งและออกแบบเป็นแนวสปอร์ตตามสไตล์ของ John Cooper โดยมีจุดหมายที่เมือง Monza ประเทศอิตาลี และผลปรากฏคือ Roy สามารถขับรถ Mini Cooper คันนี้ไปถึง Monza ได้เร็วกว่าเพื่อนร่วมทีมที่ขับ Aston Martin DB4 เป็นชั่วโมงเลยทีเดียว

จากความสำเร็จนี้ ทำให้ John Cooper ตัดสินใจเสนอกับทาง BMC เอารถ Mini มาปรับแต่งเป็น GT model ที่มีความแรงมากขึ้น และต้นสังกัดอย่าง BMC นำโดย CEO George Harriman ก็เล่นด้วย ผลิต Mini Cooper ที่ปรับแต่งเครื่องยนต์ เพิ่มความแรงเป็น 55 แรงม้า (จากเดิม 34 แรงม้า) ทำความเร็วได้สูงสุด 130 km/h และยังมีการปรับปรุงอัตราทดเกียร์, ช่วงล่าง และระบบเบรคให้ดีขึ้นอีกด้วย จนภายหลังได้ออกมาเป็นรุ่น Mini Cooper S ที่สร้างตำนานในการแข่งขัน Monte Carlo Rally และเป็นที่รู้จักมาจนถึงปัจจุบัน

1964-1967 ปีทองของมินิใน Monte Carlo Rally

Mini ตัดสินใจลงแข่งแรลลี่รายการ Monte Carlo ครั้งแรกในปี 1962 ด้วยรถ Mini Cooper เครื่องยนต์ 55 แรงม้า โดย Rauno Aaltonen นักขับผู้สร้างตำนานมินิ ชาวฟินแลนด์ แต่ปีแรกนั้น Rauno โชคไม่ดีหลังจากที่เป็นผู้นำมาตลอด เกิดประสบอุบัติเหตุ รถพลิกคว่ำและไฟไหม้ จนตัว Rauno เองแทบจะหนีออกมาไม่ทัน ถัดมาหนึ่งปีให้หลัง ในปี 1963 Rauno Aaltonen แก้ตัวอีกครั้งด้วยการนำ Mini Cooper เข้าเส้นชัยเป็นที่ 3 ของการแข่งขัน เป็นรางวัลแรกที่ Mini Cooper ได้รับจากการแข่งขันแรลลี่

33EJB_64monte5

ต่อมา ในปี 1964 Paddy Hopkirk ได้พา Mini ที่ตอนนี้อัพเกรดเป็น Mini Cooper S เครื่องยนต์ 1,071 ซีซี 70 แรงม้า ทำความเร็วสูงสุด 160 km/h ทำเวลาจาก 0-100 km/h ได้ 13 วินาที (เร็วขึ้นกว่ารุ่นเดิมถึง 6 วินาที) เบอร์ข้างรถหมายเลข “37” เข้าแข่งแรลลี่ Monte Carlo และคว้าแชมป์แรกของ Mini ได้สำเร็จ ซึ่งกลายเป็นที่มาของเลข “37” ที่ MINI ใช้เป็นเบอร์ข้างรถในการระลึกถึงแชมป์แรลลี่ Monte Carlo ในปัจจุบัน

ปี 1965 Paddy Hopkirk ยังคงสร้างตำนานให้ Mini อย่างต่อเนื่องด้วยการคว้าแชมป์สมัยที่สอง ท่ามกลางสภาพอากาศที่ย่ำแย่สุดๆ จนมีรถเพียง 35 คัน จากทั้งหมด 237 คันที่วิ่งถึงเส้นชัย (Mini Cooper S วิ่งถึงเส้นชัยทั้ง 3 คันที่เข้าแข่งในปีนั้น) และรถ Mini ของ Paddy เป็นรถเพียงคันเดียวของการแข่งขันที่ไม่ถูกตัดแต้มจากการผิดกฎเลย

AJB44B_65montewinners

ถัดมา ในปี 1966 ซึ่งถือว่าเป็นปีที่ดราม่าที่สุดของการแข่งขัน Monte Carlo Rally ตลอดกาล เมื่อทีม Mini ได้พา Mini Cooper S เข้าเส้นชัยเป็นอันดับที่ 1, 2 และ 3 ของการแข่งขัน แต่ต้องถูกกรรมการตัดสิทธิ์ทั้ง 3 คัน ด้วยเหตุผลที่ว่าไฟสปอตไลท์ของรถ Mini ที่ติดตั้งเพิ่มบริเวณด้านหน้าของตัวรถนั้น ไม่ผ่านกฎการแข่งขัน ค้านสายตาของกองเชียร์และผู้เข้าแข่งขันทั้งหมด ซึ่งนักขับในปีนั้นคือ Paddy แชมป์เก่า, Rauno และ Timo รวมถึงรถ Mini Cooper S ได้รับการยกย่องจากแฟนๆ ในวงการมอเตอร์สปอร์ตเป็นอย่างมาก และได้รับการขนานนามว่าเป็นสามทหารเสือ หรือ Three Musketeers ของวงการ

LBL6D

ปี 1967 Mini ไม่ยอมแพ้ (หลังจากแน่ใจแล้วว่า ปีนี้ไฟสปอตไลท์ของตัวเองไม่ผิดกฎแน่) ส่ง Rauno Aaltonen ในรถ Mini Cooper S คว้าแชมป์ Monte Carlo ได้สำเร็จอย่างไร้ข้อกังขา ตอกย้ำความสุดยอดของรถเล็กอย่าง Mini Cooper S ที่สร้างตำนานในการแข่งแรลลี่นี้อย่างต่อเนื่อง

Mini ไม่เพียงแต่ประสบความสำเร็จในการแข่งแรลลี่เท่านั้น แต่การแข่งขันในเซอร์กิตก็มีผลงานที่ดีเช่นกันตลอดช่วงยุค ’60 และ ’70 ที่กวาดรางวัลมามากมาย และเป็นจุดเริ่มต้นของความนิยมรถ Mini Cooper ที่ถูกปรับแต่งโดย John Cooper จนคำว่า ‘Cooper’ ถูกซึมซับเป็นส่วนหนึ่งของแบรนด์ Mini ไปโดยไม่รู้ตัว

John Cooper Works

john_cooper_works_emblem_1
โลโก้ดั้งเดิมของ John Cooper Works (ใช้ถึงปี 2008)

ก้าวข้ามมาถึงยุคของ BMW กับ MINI ในยุคใหม่ ตั้งแต่ปี 1999 ที่เริ่มมีการพูดคุยถึงโปรเจคนี้ ทาง BMW ได้เชิญ Michael Cooper (ลูกชายของ John Cooper) มาเป็นส่วนหนึ่งของโปรเจค MINI โดย Michael Cooper ได้สานต่อความตั้งใจของ John Cooper ด้วยการเป็นสำนักปรับแต่ง MINI ในชื่อ John Cooper Works ก่อตั้งในปี 2000

น่าเสียดายที่ John Cooper ไม่มีโอกาสได้เห็นความสำเร็จของลูกชายในการสืบสานตำนานกับรถ MINI ในยุคของ BMW มากนัก ในปี 2000 John Cooper ได้เสียชีวิตลงด้วยวัย 77 ปี เหลือเพียงแต่ชื่อ John Cooper Works ที่ลูกชายให้เกียรติในการใช้ชื่อนี้มาจนถึงปัจจุบัน

John Cooper Works เริ่มต้นจากการเป็นชุดแต่งให้กับรถ MINI (โดยเฉพาะ 1st Gen. MINI อย่าง R50/R53/R52) ก่อน และเริ่มมีอุปกรณ์ตกแต่งออกมา ทั้งเพื่อความสวยงาม และเพื่อประโยชน์ทางด้านแอโร่ไดนามิก จนทาง BMW Group ได้เล็งเห็นตลาดของ JCW จนได้ครอบครองชื่อแบรนด์ John Cooper Works ในปี 2007 และซื้อบริษัท John Cooper Works มาเป็นของตนเองในปี 2008 พร้อมทั้งปรับปรุงโลโก้ JCW ใหม่ ทำให้ MINI สามารถออกรถยนต์ MINI John Cooper Works ได้จากโรงงานโดยตรง โดยไม่ต้องให้ลูกค้ามาซื้อชุดแต่งมาแต่งเองเหมือนในอดีต

jcw logo
โลโก้ใหม่ของ JCW หลังจากที่ BMW Group ซื้อไปใช้เป็นแบรนด์ของตนเอง และใช้มาถึงปัจจุบัน

MINI Cooper S with John Cooper Works GP Kit

533-2006-mini-gp

ผลงานชิ้นโต ที่ถือว่าเป็นผลงานที่โดดเด่นที่สุดของ John Cooper Works ในยุคแรก ก็คือเจ้า MINI Cooper S with JCW GP Kit Limited Edition ตัวนี้ครับ ที่ผลิตขึ้นภายใต้ตัวถัง R53 โดยในยุคนั้น ยังคงใช้ชื่อ MINI Cooper S อยู่ (ถ้าสังเกต จะเห็นว่า JCW ในยุคใหม่ๆ จะไม่ใช้คำว่า MINI Cooper S แล้ว แต่จะเป็น MINI JCW เลย) โดยเจ้า GP1 นี้ มีการปรับแต่งใหม่ทั้งหมดโดยสำนัก John Cooper Works ไม่ว่าจะเป็นในส่วนของเครื่องยนต์, ช่วงล่าง, อุปกรณ์ตกแต่ง, ชุดแอโร่ไดนามิก, ล้อ ฯลฯ และเป็นรุ่นที่สร้างชื่อเสียงให้กับ MINI เป็นอย่างมาก ผลิตจำกัดมาเพียง 2,000 คันทั่วโลก กลายเป็นของสะสมที่แฟนๆ มินิหามาเก็บไว้จนถึงปัจจุบัน

MINI Challenge

MINI Challenge Oschersleben 2008

MINI ในอ้อมอกของ BMW กลับเข้ามาสู่วงการมอเตอร์สปอร์ตอีกครั้ง ในปี 2004 ด้วยการจัด MINI Challenge Clubsport ซึ่งเป็นการรวมรถ MINI ที่ปรับแต่งมาแข่งในสนามเซอร์กิต ภายใต้คอนเซปต์ Motor sport meets lifestyle และได้รับความนิยมจากแฟนๆ มินิ รวมถึงได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดีในวงการมอเตอร์สปอร์ต นอกจากนี้ MINI ยังได้ทำรถ MINI Challenge ออกมาอย่างเป็นทางการอีกด้วย

MINI John Cooper Works WRC

WRC

แน่นอนว่า MINI ไม่ได้ทิ้งตำนานการเป็นผู้นำของวงการแรลลี่ไป ถึงแม้ว่าจะห่างหายไปนับสิบปีหลังจากที่ได้แชมป์ในรายการ Monte Carlo ในปี 1967 แต่ MINI ได้รอเวลาที่จะหวนกลับมาอีกครั้งด้วยรถ MINI John Cooper Works WRC ภายใต้ตัวถัง R60 MINI Countryman ในปี 2011 ซึ่งการกลับมาของ MINI ครั้งนี้ก็กลับมาอย่างยิ่งใหญ่ ด้วยทีม MINI ALL4 Racing นำโดย Stephane Peterhansel คว้าแชมป์ในการแข่งขัน Dakar Rally ทั้งปี 2012 และ 2013

MINI John Cooper Works World Championship 50

MINI-JCW-WC50-01

MINI John Cooper Works World Championship 50 หรือบางคนอาจเรียกว่ารุ่น WC50 เป็นอีกหนึ่งรุ่นที่มีความสำคัญต่อแบรนด์ JCW เพราะเป็นรถที่ออกมาฉลองครบรอบ 50 ปีการได้แชมป์ Formula 1 ของทีม John Cooper ผู้สร้างแบรนด์ JCW นั่นเอง

รถ MINI JCW WC50 ผลิตจำนวนจำกัดเพียง 500 คันทั่วโลก (ล็อตแรกผลิตเพียง 250 คัน แต่เพิ่มเป็น 500 ในภายหลัง) ถือเป็น MINI ที่ผลิตจำนวนจำกัดที่สุดเท่าที่เคยมีมา เป็น MINI R56 ที่มีความพิเศษหลายอย่าง ทั้งสีของตัวรถที่ใช้สีเขียว Connaught Green (สีนี้ไม่ถูกใช้ในรุ่นอื่นๆ เลย), มีลายเซ็นของ Michael Cooper ลูกชายของ John Cooper บนฝากระโปรงรถ และบนแผงคอนโซลฝั่งคนนั่ง, เบาะเลานจ์หนังดำเดินขอบสีแดง, ชุดแต่ง JCW พร้อมพาร์ทคาร์บอนไฟเบอร์เต็มชุด, เครื่องยนต์ JCW จากโรงงาน เกียร์ธรรมดา 6 สปีด, มีตัวเลขประจำรถ ตั้งแต่ 001 ถึง 500 ที่บริเวณกรอบไฟเลี้ยวด้านข้างซ้าย-ขวา

Current JCW Models

ปัจจุบัน MINI มีโมเดล JCW กับรถทุกรหัสตัวถังของตัวเอง โดย MINI ได้ยึดเอา JCW เป็นรุ่นท้อปสุดของแต่ละรหัสตัวถัง มีการปรับแต่งมาทั้งในส่วนของเครื่องยนต์ที่มีความแรงเหนือ MINI Cooper S, อุปกรณ์และออพชั่นบางอย่างที่ไม่มีให้เลือกในโมเดลอื่น รวมถึงชุดแอโร่ไดนามิกที่เป็นเอกลักษณ์โดดเด่นของแต่ละรุ่น ซึ่งในที่นี้จะพูดถึงเฉพาะรถ MINI JCW ที่ออกมาจากโรงงานเท่านั้น ไม่นับรวมอุปกรณ์ตกแต่งที่ MINI ได้ทำออกมาจำหน่ายต่างหากภายใต้แบรนด์ JCW ที่เปิดให้รถ MINI ทุกรุ่นสามารถหาซื้อไปตกแต่งเพิ่มเติมได้

ในช่วงเริ่มแรกของการทำแบรนด์ JCW ภายใต้อ้อมอกของ BMW Group (ช่วงปี 2008-2011) นั้น จะไม่มีรถ JCW ที่ใช้เกียร์อัตโนมัติเลย รถ MINI JCW ล้วนแต่เป็นเกียร์กระปุกจนมาถึงรอยต่อของปี 2011-2012 ที่ MINI ได้มีการอัพเกรดเครื่องยนต์ ปรับปรุงรถ MINI ในสายการผลิตทุกรุ่น (LCI 2011) เปลี่ยนมาเป็นเครื่องยนต์วาล์วทรอนิก จึงเริ่มที่จะมีออพชั่นของ JCW เกียร์อัตโนมัติให้เลือกเพิ่มเติมหลังจากนั้นมา

MINI John Cooper Works (R56)

P90103009-highRes

MINI John Cooper Works Clubman (R55)

P90103671-highRes

MINI John Cooper Works Convertible (R57)

P90103660-highRes

MINI John Cooper Works Coupe (R58)

P90103022-highRes

MINI John Cooper Works Roadster (R59)

P90103057-highRes

MINI John Cooper Works Countryman (R60)

P90102924-highRes1

MINI John Cooper Works Paceman (R61)

MINI-John-Cooper-Works-Paceman-13-1024x689

MINI John Cooper Works GP Limited Edition (R56)

P90102762-highRes

MINI John Cooper Works (F56)

MINI John Cooper Works Convertible (F57)

MINI John Cooper Works Clubman (F54)

MINI John Cooper Works Countryman (F60)

Comments: