Exclusive Review วันนี้ ผมพาแฟนๆ มินิไปที่ประเทศอังกฤษครับ เพื่อร่วมทดลองขับ MINI Countryman โฉมใหม่กันเป็นครั้งแรก หลังจากที่ MINI ได้ทำการเผยโฉมอย่างเป็นทางการไปแล้วในงาน LA Auto Show 2016 ในช่วงปลายปีที่ผ่านมา มาวันนี้ก็ได้ฤกษ์งามยามดีที่เราจะได้ทดลองขับเจ้า Countryman โฉมใหม่นี้กันเสียทีครับ
ก่อนที่จะไปถึงการทดลองขับ เรามาดูที่มาที่ไปของ MINI Countryman โฉมใหม่กันก่อน โดยผมจะพาแฟนๆ มินิมารู้จักกับข้อมูลของ MINI Countryman กันอย่างละเอียด และปิดท้ายด้วยการทดลองขับจริงกันก่อนใครในรีวิวชิ้นนี้ ถ้าพร้อมแล้ว ไปดูกันเลยครับ
มินิ ได้เผยโฉมของ MINI Countryman ครั้งแรกตั้งแต่ปี 2010 ครับ โดย ณ เวลานั้น แบรนด์ MINI ได้สร้างความประหลาดใจให้กับแฟนๆ มินิทั่วโลก ด้วยการเปิดตัวรถยนต์มินิที่มีขนาดใหญ่โตขึ้นอย่างผิดหูผิดตา มีความยาวของตัวรถที่ยาวกว่า 4 เมตรเป็นครั้งแรก มี 4 ประตู และเพิ่มตัวเลือกของ ALL4 ขับเคลื่อนสี่ล้อ จนมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากแฟนๆ มินิ และให้เสียงตอบรับที่ไม่สู้ดีนักในวันเปิดตัว ที่แน่นอนว่า มีแฟนๆ มินิจำนวนไม่น้อย ยังทำใจรับกับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับแบรนด์รถเล็กอย่างมินิไม่ได้
จากวันนั้นถึงวันนี้ การเดินทางของ MINI Countryman ที่ยาวนานกว่า 6 ปีเต็มๆ กลับไม่เหมือนเสียงวิจารณ์ในวันเปิดตัวครั้งแรก เพราะ MINI Countryman ได้พิสูจน์ให้แฟนๆ มินิทั่วโลกได้เห็นแล้วว่า นี่คือโมเดลที่ตอบโจทย์ความต้องการของคนรักมินิ ที่ต้องการรถยนต์ไซส์ใหญ่ขึ้น เอนกประสงค์มากขึ้น รวมถึงสามารถดึงเอากลุ่มลูกค้าที่ไม่เคยมองแบรนด์มินิมาก่อน มาเป็นลูกค้าของมินิเพิ่มได้อีกเป็นจำนวนมากจากหลากหลายตลาดทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นตลาดที่ชื่นชอบรถยนต์ขนาดใหญ่อย่างอเมริกา หรือตลาดมินิขนาดใหญ่ในจีน รวมไปถึงตลาดเมืองไทยบ้านเรา ที่มีการตัดสินใจนำ MINI Countryman เข้าไปประกอบในประเทศ จนได้รับผลประโยชน์ทางด้านภาษี และทำให้ MINI Countryman เป็นมินิโมเดลที่ขายดีที่สุดในประเทศไทย และในตลาดโลก MINI Countryman ก็เป็นมินิโมเดลที่ขายดีเป็นอันดับที่สอง รองจากโฉม Hatch อีกด้วย (ยอดจำหน่ายรวมมากกว่า 540,000 คันทั่วโลก)
ความสำเร็จของ MINI Countryman ถูกต่อยอดมาถึงวันนี้ ที่ MINI ได้ทำการเปิดตัว MINI Countryman ในเจเนอเรชั่นที่สอง ภายใต้รหัส F60 ปรับปรุงโฉมใหม่ทั้งหมด ยกเครื่องเอาเทคโนโลยีของมินิในเจเนอเรชั่นปัจจุบัน มาใส่อยู่ใน Countryman โฉมใหม่ ไปจนถึงฟีเจอร์ใหม่ๆ ที่ไม่เคยมีในมินิรุ่นอื่นๆ ที่จะทำให้แนวคิดของ Countryman นั้นเด่นชัดมากขึ้นในโฉมนี้
MINI Countryman โฉมใหม่ มีขนาดความยาวที่มากขึ้นกว่ารุ่นเดิมถึง 20 เซนติเมตร และกว้างขึ้น 3 เซนติเมตร (นั่นคือมันมีขนาดที่ใหญ่ขึ้นมากๆ เลยนะครับ) พอเอามาจอดเทียบกันนี่จะยิ่งเห็นชัดเจนเลยว่ามันใหญ่โตขึ้นอย่างมาก
อ่าน >> เปิดตัว 2017 MINI Countryman โฉมใหม่ (F60) อย่างเป็นทางการ
MINI Cooper S Countryman ALL4
รีวิววันนี้ มีเพียงเครื่องยนต์แบบเดียว คือ MINI Cooper S Countryman ALL4 เครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตร 4 สูบ ทวินพาวเวอร์เทอร์โบ 192 แรงม้า เกียร์อัตโนมัติ Steptronic 8-Speed ซึ่งเป็นเครื่องยนต์ตัวเดียวกับ Cooper S ที่อยู่ใน MINI Cooper S Clubman ครับ ผมมีโอกาสได้ขับเจ้า Countryman คันนี้เป็นเวลา 2 วันเต็มที่ประเทศอังกฤษ และจะนำมาเล่าให้ฟังกันในวันนี้ครับ
คันที่ผมขับ เป็น MINI Cooper S Countryman ALL4 สีน้ำเงิน Island Blue ซึ่งเป็นสีใหม่ และเป็นสีที่ใช้ในการโปรโมต Countryman โฉมนี้ด้วย เริ่มต้นการเดินทางจาก Hedsor House เมือง Maidenhead ไปยังจุดหมายปลายทางที่ Soho Farmhouse เพื่อค้างแรม และขับจาก Soho Farmhouse กลับมายัง Hedsor House ในวันที่สอง ด้วยการเดินทางคนละเส้นทางกัน รวมระยะทางมากกว่า 200 กิโลเมตรครับ
Exterior
สัมผัสแรกก่อนที่จะได้ทดลองขับนั้น ต้องบอกเลยว่า นี่เป็นรถยนต์ MINI ที่มีขนาดใหญ่มาก และแม้เราจะยอมรับกันอยู่แล้วว่า มันคือ Countryman ที่ต้องมีขนาดใหญ่กว่า MINI ทั่วๆ ไป แต่มันก็ยังถือว่าเป็น Countryman ที่ใหญ่มากอยู่ดี ด้วยขนาดความยาวที่มากขึ้นกว่าเดิมถึง 20 เซนติเมตร นี่ถือได้ว่าไม่ธรรมดานะครับ เราแทบจะไม่มีโอกาสได้เห็นรถยนต์ในโมเดลไหนก็ตาม ที่เมื่อออกเจเนอเรชั่นใหม่แล้ว มันยาวกว่าเดิม 20 เซนติเมตรกันแบบนี้ และมันยังกว้างกว่าเดิมอีก 3 เซนติเมตร รวมถึงมีขนาดความสูงโดยรวมที่มากกว่าเดิมอีกด้วย
ความใหญ่โตของ Countryman ใหม่ ก็พ่วงมาด้วยข้อดีจำนวนมากครับ ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่ภายในห้องโดยสารที่มากขึ้น ช่องเก็บสัมภาระที่ใหญ่กว่าเดิม เอนกประสงค์กว่าเดิม รวมถึงฟีเจอร์ใหม่ๆ ก็สามารถที่จะเพิ่มเข้ามาใน Countryman โฉมนี้ได้อย่างเต็มที่ และเปลี่ยนภาพลักษณ์ของ MINI Countryman เดิม ที่หลายคนคิดว่ามันไม่ใช่รถที่ขับสบาย นั่งสบาย ไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกมากนัก เป็นภาพลักษณ์ที่ขับง่าย เอนกประสงค์ สะดวกสบาย เหมาะกับทุกคนได้แบบที่ไม่เคยมีมาก่อน
ไฟหน้ารถของ MINI Countryman โฉมใหม่นี้ถือว่าเป็นไฮไลต์ของมันเลยล่ะครับ ด้วยรูปทรงที่โฉบเฉี่ยวกว่ารุ่นเดิม และมีวงแหวน Daytime Running Light ล้อมรอบอยู่ตรงขอบไฟหน้า เป็นจุดที่ดีไซน์ออกมาได้สวยงามลงตัวมาก และจะยิ่งโดดเด่นเวลาวิ่งอยู่บนท้องถนน เป็นเอกลักษณ์ชัดเจนที่ไม่เหมือนใคร
กระจังหน้ารถ เป็นรูปทรง 6 เหลี่ยม ที่เป็นเอกลักษณ์ของ Countryman มาตั้งแต่เจเนอเรชั่นก่อนหน้า แต่ถูกเสริมเหลี่ยมมุมให้มีความสปอร์ตมากขึ้นด้วยเส้นที่เป็นกรอบซ้อนกระจังหน้าขึ้นมาอีกชั้น โดยเฉพาะในรุ่น Cooper S และ JCW ที่จะเป็นการตัดกรอบขึ้นมาอย่างโดดเด่นสุดๆ
ถัดมาเป็นส่วนของกันชนหน้า ที่มีออปชั่นของกรอบพลาสติกสีดำเงามาให้เลือกเพิ่มเติมได้ อย่างในรถทดสอบที่ทาง MINI นำมาให้วันนี้ ก็จะมีตัวเลือกของตัวถังสีขาว Light White ที่มีออปชั่นของกรอบกันชนหน้าหลังเป็นพลาสติกสีดำเงา มาเสริมความดุดัน ให้มีภาพของความเป็นรถ Crossover แบบลุยๆ ติดตั้งมาให้ โดยที่ออปชั่นนี้ ลูกค้ามินิสามารถเลือกเพิ่มได้ตามใจชอบครับ
ด้านข้างของตัวรถ ส่วนที่โดดเด่นและมาใหม่ในโมเดลนี้ ก็คือกรอบไฟเลี้ยว หรือ side scuttle ที่เป็นหนึ่งในคาแรคเตอร์ของมินิ มีการออกใหม่ในรูปทรงสามเหลี่ยมคล้ายกับลูกศรชี้ไปด้านหน้า และมีการใส่สัญลักษณ์ S เข้าไปในรุ่นเครื่องยนต์ Cooper S ได้อย่างลงตัว
ความยาวของตัวรถด้านข้าง สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนว่า ความยาว 20 เซนติเมตรที่เพิ่มขึ้นมานั้น ถูกเทไปที่ประตูคู่หลังของตัวรถ ให้มีพื้นที่ของผู้โดยสารแถวหลังมากขึ้น ขึ้นลงรถได้อย่างสะดวกมากขึ้น รวมถึงไปเพิ่มความยาวตอนท้ายของตัวรถ ให้มีพื้นที่เก็บสัมภาระที่มากขึ้นด้วยนั่นเองครับ
ด้านท้ายของตัวรถ มีการใช้ไฟท้ายขนาดใหญ่มากๆ ในรูปทรงที่ใกล้เคียงกับ MINI Countryman โฉมเดิม กันชนมีขนาดใหญ่ขึ้น ดูบึกบึนมากขึ้น แต่โดยภาพรวมแล้ว มีดีไซน์ที่ใกล้เคียงกับด้านท้ายของ Countryman โฉมเดิมเป็นอย่างมากนะครับ
ฝากระโปรงท้าย เป็นครั้งแรกของ Countryman นะครับ ที่สามารถเปิดและปิดได้ด้วยไฟฟ้าเต็มระบบ โดยเปิดได้จากปุ่มกดบริเวณฝากระโปรง หรือจะเปิดด้วยการกดจากรีโมทของรถก็ได้ และตอนปิด ก็สามารถปิดได้จากปุ่มบนขอบฝากระโปรง หรือจะกดปุ่มที่รีโมทแช่ไว้ก็สามารถปิดฝากระโปรงได้เช่นกัน
อีกหนึ่งวิธี คือ การเปิดฝากระโปรงด้วยการใช้เท้าแหย่เข้าไปใต้กันชนหลัง (ต้องมีรีโมทอยู่กับตัวเท่านั้น) ในลักษณะคล้ายๆ การเตะขาลอยๆ กลางอากาศ 1 ครั้ง ก็จะเป็นการเปิดฝากระโปรงท้ายได้ โดยไม่ต้องใช้มือสัมผัสใดๆ เหมาะกับเวลาเราไปช้อปปิ้งมาเต็ม 2 มือ ก็ยังสามารถเปิดฝากระโปรงท้ายได้โดยไม่ต้องวางของที่พื้นก่อน รวมถึงตอนปิดฝากระโปรงท้าย ก็ยังสามารถปิดได้ด้วยการเตะขาลอยๆ ในท่าเดิมอีก 1 ครั้งได้เช่นกันครับ สะดวกมากขึ้นกว่าเดิมมาก และมีความใกล้เคียงกับ BMW อย่างมากแล้ว
Picnic Bench
ของใหม่อีกหนึ่งอย่าง และน่าสนใจมากๆ ก็คือฟีเจอร์ที่เรียกว่า Picnic Bench ของ MINI Countryman ครับ หลังจากที่เราเปิดฝากระโปรงหลังแล้ว บริเวณพื้นของที่เก็บสัมภาระจะสามารถดึงกางออกมา เพื่อครอบบริเวณกันชนท้ายได้ และส่วนที่ครอบกันชนนั้นจะเป็นเบาะเล็กๆ ที่ให้เราสามารถขึ้นไปนั่งพักผ่อนเมื่อไปจอดปิกนิกแบบชิลๆ (ตามชื่อ Picnic Bench ของมัน) รวมถึงมันยังช่วยป้องกันรอยที่อาจขึ้นกับกันชนหลัง เวลาเรายกของขึ้นลง เช่นพวกกระเป๋าเดินทางหนักๆ ได้อีกด้วยครับ ฟีเจอร์นี้ติดมากับ MINI Countryman ใหม่ทุกรุ่นย่อยเลย เท่มากๆ ครับ
Interior
ย้ายมาอยู่ในตัวรถบ้างครับ ด้วยความที่ขนาดของตัวรถที่ใหญ่ขึ้น และด้านซ้ายไปขวาก็กว้างขึ้นถึง 3 เซนติเมตร ทำให้ MINI Countryman มีการออกแบบ dashboard ใหม่ ให้มีความกว้างกว่าเดิม วางตำแหน่งของปุ่มต่างๆ ที่คอนโซลกลางได้ลงตัวกว่าเดิม ปุ่มถูกเรียงตัวกันแบบไม่แออัดเท่าไรนัก แม้ว่าจะยังใช้รูปร่างของปุ่มและรูปแบบการเรียงคล้ายคลึงกับมินิในเจเนอเรชั่นปัจจุบันรุ่นอื่นๆ ก็ตาม
ส่วนที่เปลี่ยนแปลงใน Countryman รุ่นนี้คือช่องแอร์ครับ แม้จะดูเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ MINI เลือกใช้ช่องแอร์ในรูปทรงสี่เหลี่ยม หลังจากที่ใช้ช่องแอร์วงกลมมาตลอดทุกรุ่นที่ผ่านมา แต่กลับไม่ได้ดูแปลกตาอะไร ยังจะดีด้วยว่าแอร์มีช่องใหญ่ขึ้น และใน Countryman ใหม่นี้มีช่องแอร์สำหรับผู้โดยสารแถวหลังแล้วนะครับ
สำหรับเบาะที่นั่ง ของ MINI Countryman โฉมใหม่นี้ ทางมินิเลือกใช้เบาะรุ่นเดียวกับ MINI Clubman เป๊ะๆ ครับ นั่งสบายขึ้นกว่าเจเนอเรชั่นก่อนหน้าอย่างชัดเจน สามารถปรับเบาะชิ้นรองน่องได้ และมีออปชั่นของเบาะปรับไฟฟ้ากับปุ่มเซฟโปรไฟล์สำหรับเบาะคู่หน้าแล้วนะครับ
ส่วนเบาะแถวหลัง ใน MINI Countryman ใหม่ จะเป็นแบบ 3 ที่นั่งเต็มๆ มีเข็มขัดนิรภัยและมีหมอนรองศีรษะทุกที่นั่ง และยังสามารถแยกพับเบาะหลังได้แบบ 3 ส่วน (40:20:40) แยกตามแต่ละที่นั่งได้เลยด้วย ดึงพับเบาะได้จากทั้งในรถและท้ายรถ สะดวกมากครับ
พื้นที่ระหว่างที่นั่งของเบาะคู่หน้า มีสเปซมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด จากอานิสงส์ของการขยายขนาดรถยนต์ให้เพิ่มมากขึ้น ทำให้รู้สึกไม่อึดอัดเหมือนกับมินิรุ่นอื่นๆ เวลาเดินทางด้วยกันหลายคน มีความเป็นส่วนตัวและสบายมากขึ้นพอสมควรในรุ่นนี้ และส่วนที่ทำให้มันดูเรียบร้อยมากขึ้น ก็เพราะ Countryman เป็นอีกรุ่นที่ MINI เลือกเปลี่ยนเบรกมือไปใช้เบรกมือไฟฟ้าเช่นเดียวกับ Clubman ที่นำร่องไปก่อนหน้า คอนโซลระหว่างที่นั่งแถวหน้าเลยดูเรียบร้อยขึ้นเยอะเลยครับ
การปรับโหมดการขับขี่ ยังคงมี 3 โหมดเช่นเดียวกับมินิในเจเนอเรชั่นปัจจุบันทุกโมเดล นั่นคือโหมดมาตรฐาน (MID), โหมดสปอร์ต (Sport) และโหมดประหยัด (Green) ที่เราสามารถเลือกปรับได้จากฐานเกียร์ ท่ีเดี๋ยวจะไปเล่าอีกทีในช่วงทดลองขับนะครับ
Technical Specification
แท้จริงแล้ว MINI Countryman โฉมใหม่นี้ มีตัวเลือกเครื่องยนต์มากมายครับ ทั้งเครื่องยนต์เบนซินและดีเซล ทั้ง Cooper, Cooper D, Cooper S และ Cooper SD ไปจนถึง JCW แถมเกือบทุกรุ่นยังสามารถมีออปชั่นของ ALL4 หรือไม่มี ตามแต่ละประเทศจะนำเข้าไปจำหน่าย หรือถ้าในประเทศใหญ่ๆ ก็จะสามารถ customize ได้เองตามใจชอบ ส่วนในประเทศไทย ในปี 2017 นี้ ทางมินิ ประเทศไทย จะโฟกัสที่ 3 ตัวเลือกเครื่องยนต์ของ MINI Countryman โฉมใหม่ คือ MINI Cooper Countryman, MINI Cooper S Countryman ALL4 และ MINI Cooper SD Countryman ALL4 ดังนี้ครับ
Cooper Countryman |
Cooper S Countryman ALL4 |
Cooper SD Countryman ALL4 |
||
Engine | ||||
Type/no. of cylinders/valves | in-line/3/4 | in-line/4/4 | in-line/4/4 | |
Capacity | cc | 1499 | 1998 | 1995 |
Bore/stroke | mm | 82/94.6 | 82/94.6 | 84.0/90.0 |
Max. output | hp (kW) | 136 (100) | 192 (141) | 190 (140) |
at engine speed | rpm | 4400-6000 | 5000-6000 | 4000 |
Max. torque/revs | Nm/rpm | 220/1400-4300 | 280/1350-4600 | 400/1750-2500 |
Compression ratio/ | :1 | 11.0 | 11.0 | 16.5 |
Transmission | 6-speed Steptronic | 8-speed Steptronic | 8-speed Steptronic | |
Performance | ||||
Max. speed | km/h | 200 | 222 | 218 |
Acceleration 0-100 km/h | sec. | 9.6 | 7.2 | 7.4 |
Fuel Consumption | ||||
Urban | l/100km | 6.7-6.6 | 7.9-7.8 | 5.6-5.4 |
Extra-urban | l/100km | 5.1-4.9 | 5.8-5.6 | 4.8-4.6 |
Total | l/100km | 5.7-5.5 | 6.6-6.4 | 5.1-4.9 |
CO2 emissions | g/km | 130-126 | 150-146 | 133-129 |
Tank capacity, approx. | l | 51 | 51 | 51 |
Body | ||||
Length/Width/Height | mm | 4299/1822/1557 | 4299/1822/1557 | 4299/1822/1557 |
Wheelbase | mm | 2670 | 2670 | 2670 |
Unladen weigh EU | kg | 1465 | 1605 | 1610 |
Max. permitted weight | kg | 1975 | 2120 | 2130 |
Max. permitted load | kg | 585 | 590 | 595 |
Max. permitted axle load (front/rear) |
kg | 1045/980 | 1120/1050 | 1125/1050 |
Luggage capacity | l | 450-1390 | 450-1390 | 450-1390 |
ทดลองขับจริง
หลังจากที่เรารู้จักกับ MINI Countryman โฉมใหม่กันแล้ว ก็ถึงเวลาที่เราจะมาทดลองขับจริงกันบ้างครับ ผมได้รับกุญแจของ MINI Cooper S Countryman ALL4 สีน้ำเงิน Island Blue ในช่วงเที่ยงๆ เพื่อที่จะออกเดินทางจาก Hedsor House มุ่งหน้าไปยัง Soho Farmhouse ตามเส้นทางที่ MINI แนะนำไว้ใน Roadbook ของรถทดสอบ ซึ่งระหว่างทางก็มีทั้งเส้นทางของถนนชนบท เล็ก แคบ ไม่เรียบ ไปจนถึงการขับบนทางด่วน ที่สามารถใช้ความเร็วได้พอสมควร เพื่อทดสอบสมรรถนะการในขับขี่ของ MINI Countryman โฉมใหม่ ซึ่งผมเองก็ไม่สามารถคาดเดาได้ล่วงหน้า ว่าตัวถังขนาดใหญ่ที่สุดเท่าที่ MINI เคยผลิตมาอย่าง Countryman ตัวนี้จะตอบสนองการขับขี่ออกมาเป็นรูปแบบไหนกันแน่
ผมขึ้นรถ MINI Cooper S Countryman ALL4 มาอยู่ในตำแหน่งของคนขับ ทำการปรับตำแหน่งของเบาะที่นั่งด้วยระบบไฟฟ้า ปรับกระจกต่างๆ ให้เข้าที่แล้วก็เริ่มเกิดความคุ้นเคยอย่างรวดเร็ว เพราะภายในของตัวรถ เมื่อนั่งอยู่ในตำแหน่งของคนขับแล้ว มันแทบจะไม่แตกต่างอะไรจาก MINI Clubman เท่าไรนัก ไม่ว่าจะเป็นพวงมาลัย แดชบอร์ด หน้าจอกึ่งกลางตัวรถ ปุ่มควบคุมต่างๆ ล้วนแต่อยู่ในตำแหน่งเดียวกัน และมีหน้าตาเหมือนกันทั้งสิ้น จะแตกต่างไปก็ตรงที่ ผมจะรู้ว่า Countryman คันนี้มีขนาดที่ใหญ่โตมากขึ้น นั่งอยู่ในตำแหน่งที่สูงขึ้น และมีทัศนวิสัยที่มากขึ้นเท่านั้นเอง
ผมเหยียบแป้นเบรกค้างไว้ และกดปุ่มสตาร์ทเครื่องยนต์ที่บริเวณกึ่งกลางของคอนโซลรถ เสียงเครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตร 4 สูบ ทวินพาวเวอร์เทอร์โบ ที่คุ้นเคยกันเป็นอย่างดีจากมินิเครื่องยนต์ Cooper S ในเจเนอเรชั่นปัจจุบันทุกโมเดล ก็ดังขึ้นมาทักทายครับ ถึงตอนนี้ผมเองเริ่มจะคาดเดาแล้วว่า มันอาจจะมีฟิลลิ่งการขับขี่ที่ไม่แตกต่างจาก MINI Cooper S Clubman หรือแม้กระทั่ง MINI Cooper S ในโฉม Hatch มากเท่าไรนัก (แหม ก็เล่นใช้เครื่องยนต์ และชุดขับเคลื่อนตัวเดียวกันเลยนี่นา)
เมื่อเริ่มขับเจ้า MINI Cooper S Countryman ALL4 ในช่วงแรก ต้องบอกว่า ถึงผมจะคุ้นเคยกับ MINI มาแล้วทุกโมเดล และเข้าใจถึงเหตุผลต่างๆ นานาที่ Countryman โฉมนี้จะมีขนาดใหญ่ขึ้น แต่พอมาสัมผัสกับความรู้สึกจริงเมื่อขับ ก็อดตกใจกับความใหญ่โตของมันไม่ได้อยู่ดีครับ ในขณะที่ขับ ผมสามารถมองเห็นเส้นสายของฝากระโปรงหน้า รวมไปถึงเส้นสายด้านข้างตัวรถ ที่ยิ่งตอกย้ำขนาดความใหญ่โตของมัน ให้เราได้มองเห็นอยู่ตลอดเวลา และรู้สึกขัดแย้งกับฟิลลิ่งของ MINI ที่อยู่ในห้องโดยสารของตัวรถอยู่บ้างก็ตามครับ
เรื่องขนาดของตัวรถนี่ต้องทำความคุ้นเคยพักนึงครับ พอขับไปได้สักหน่อย เรื่องของขนาดความใหญ่ และความตกใจก็เริ่มหายๆ ไป และค่อยๆ มาโฟกัสอยู่ที่การขับขี่ ที่ต้องปรับตัวว่า นี่เป็นรถมินิในยุคใหม่แล้ว คุณผู้อ่านที่มีภาพติดตามาจากมินิสมัยก่อนๆ ว่าเป็นรถช่วงล่างแข็ง พวงมาลัยหนัก ขับยาก นั่งไม่สบาย อาจจะต้องลืมภาพเก่าๆ นั้นให้หมดสิ้น เพราะ MINI Countryman โฉมนี้ เป็นมินิที่ขับง่ายที่สุดเท่าที่เคยมีมาเลยครับ ตำแหน่งของเบาะที่นั่ง ทัศนวิสัย น้ำหนักพวงมาลัย และความสบายในขณะขับขี่ ถูกปรับมาเน้นความสบายมากขึ้นเยอะ และไม่จำเป็นต้องรู้จักหรือคุ้นเคยอะไรกับรถยนต์มินิมาก่อน ก็ควบคุมมันได้ไม่ยาก
ในโหมดการขับขี่มาตรฐาน (โหมด MID) เจ้า MINI Cooper S Countryman ALL4 คันนี้ ให้คาแรคเตอร์ที่ปรานีปรานอมมากครับ ไม่ออกอาการกระชาก หรือกระแทกกระทั้นให้เห็นเลย จะมีเพียงแค่เสียงเครื่องยนต์ที่จะปล่อยเข้ามาให้ห้องโดยสารให้เราได้ยินกันมากหน่อย (แต่รุ่นนี้เก็บเสียงรบกวนจากภายนอกได้ดีขึ้นพอสมควร) เพื่อรักษาฟิลลิ่งการขับขี่ในสไตล์มินิเอาไว้ โดยเครื่องยนต์เบนซิน 192 แรงม้า จะไม่ค่อยแสดงตัวว่ามีพละกำลังหลงเหลืออยู่มหาศาลให้ได้รับรู้จนกว่าจะมีการกระแทกคันเร่งลงไปเมื่อต้องการอัตราเร่ง หรือเมื่อต้องการแซงรถคันข้างหน้าครับ ในโหมด MID ของ Countryman ตัวนี้ จึงถือว่ามินิได้เซ็ตมาให้เหมาะกับการขับขี่แบบสบายๆ มากขึ้นกว่ามินิโมเดลอื่นๆ อย่างชัดเจนจริงๆ
ผมลองผลักโหมดการขับขี่ที่บริเวณฐานเกียร์ให้เป็นโหมด SPORT ดูบ้าง ว่าเจ้า MINI Countryman โฉมใหม่นี้ จะยังคงให้คาแรคเตอร์ความเป็นสปอร์ต ให้โกคาร์ตฟิลลิ่งเหมือนกับรถยนต์ MINI โมเดลอื่นๆ หรือไม่ ทันทีที่ผมผลักเปลี่ยนโหมดการขับขี่เป็นโหมด SPORT เสียงเครื่องยนต์ก็คำรามดังขึ้นแทบจะทันที หน้าจอ Central Display แสดงการเปลี่ยนเป็นโหมด SPORT พร้อมไฟวงแหวนสีแดงปรากฏขึ้น น้ำหนักพวงมาลัยมีความหนักขึ้นอย่างเห็นได้ชัด และเครื่องยนต์ลากไปเปลี่ยนเกียร์ที่รอบสูงขึ้นกว่าโหมดปกติ การขับขี่เฟิร์มขึ้นอย่างชัดเจน เน้นไปที่ประสิทธิภาพในการขับขี่มากกว่าความสบายตามที่มันควรจะเป็น แต่ผมกลับพบว่า มันยังไปได้ไม่ถึงมาตรฐานของโหมด SPORT ที่มินิได้วางเอาไว้ในรุ่น Hatch ที่คาแรคเตอร์จะออกดิบเถื่อนกว่านี้ รวมถึงใน Countryman โฉมใหม่คันที่ผมขับวันนี้ ก็ไม่มีเสียง popping noise ให้เราได้ยินจากท่อไอเสียเลย ซึ่งผิดแปลกจากโหมด SPORT ที่มินิจะวางคาแรคเตอร์ให้คนขับได้รับรู้ถึงความแรงอยู่ตลอดเวลาครับ
อีกหนึ่งข้อเปรียบเทียบ สำหรับคนที่คุ้นเคยกับมินิในโฉม Hatch ปัจจุบัน (F56) มาบ้าง จะรับรู้ว่า MINI Countryman ตัวนี้มีน้ำหนักตัวรถที่มากขึ้นพอสมควร ในขณะที่มันยังคงใช้ขุมพลังเครื่องยนต์เบนซิน ทวินพาวเวอร์เทอร์โบ 2.0 ลิตร 4 สูบ 192 แรงม้าตัวเดียวกัน จึงส่งผลให้เราอาจจะรู้สึกว่า Countryman ตัวนี้จะหน่วงๆ กว่า Hatch บ้าง ไม่ออกอาการจี๊ดจ๊าดเท่าที่มินิได้วางคาแรคเตอร์ไว้ แต่ถ้าหากใครที่ไม่เคยสัมผัสคุ้นเคยกับมินิในรุ่น Hatch มาก่อน ก็อาจจะไม่รู้สึกถึงอาการดังกล่าวครับ เพราะพละกำลังที่ให้มาเท่านี้ ก็ถือว่าเหลือกินเหลือใช้เอามากๆ แล้ว แถมยังมีการปรับแต่งมาเพื่อความสะดวกสบายในการขับขี่มากขึ้นเยอะ เหมาะกับทุกๆ คนมากขึ้นอย่างที่มินิไม่เคยทำมาก่อน ที่ผมอยากให้คุณผู้อ่านที่อาจจะไม่เคยพิจารณารถยนต์มินิมาก่อน ได้เปิดใจไปลองขับมันสักครั้ง
ในการขับทั้งสองวันที่ประเทศอังกฤษนี้ มีเส้นทางให้ผมได้ทดลองขับทั้งเส้นทางชนบทเลนเดียว ถนนไม่เรียบมากนัก สลับกับเส้นทางบนทางด่วนที่พอจะใช้ความเร็วได้บ้าง ซึ่งโดยรวมๆ น่าจะครอบคลุมการใช้งานโดยทั่วไปกับถนนเมืองไทย (ยกเว้นสภาพอากาศที่ต่างกันอย่างลิบลับ วันที่ขับนี่ประมาณ -2 ถึง 5 องศาฯ ไม่เกินนี้) ช่วงล่างของ Countryman โฉมใหม่นี่สร้างความประหลาดใจให้ผมพอสมควรครับ เพราะอย่างหลุมเล็กๆ บนถนน ที่ดูจากสภาพแล้วต้องส่งแรงกระแทกเข้ามาในรถพอประมาณ กลับผ่านไปได้อย่างนุ่มนวล ผิดวิสัยของรถยนต์มินิจนน่าตกใจ ผมว่านี่เป็นรถยนต์มินิที่มีช่วงล่างนุ่มนวลที่สุดเท่าที่มินิเคยผลิตมา (แม้ว่ามันจะยังกระด้างกว่ารถยนต์หรูทั่วไปในท้องตลาดอยู่ก็ตาม) ผิดแปลกจาก Countryman โฉมเก่าชนิดที่คาดเดาล่วงหน้าได้ยาก และตอกย้ำว่า MINI ตั้งใจโฟกัส Countryman โฉมนี้มาเพื่อความสบายของทุกคนมากขึ้นอย่างจริงจังครับ
อีกส่วนหนึ่งที่ตอกย้ำว่า MINI Countryman โฉมนี้เน้นความสบายมากขึ้น นั่นก็คือพื้นที่ภายในห้องโดยสาร ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่ระหว่างผู้โดยสารแถวหน้า กับคนขับ ที่มีช่องว่างระหว่างกันมากขึ้น ขยับแขนหรือไหล่ได้แบบเป็นส่วนตัวกว่าโฉมก่อนหน้าพอสมควร พื้นที่เหนือศีรษะก็มีมากขึ้นด้วย จนบางครั้งก็อาจจะลืมๆ ไปบ้างว่ากำลังขับ หรือกำลังนั่งอยู่ในรถมินินะครับ
ALL4
แต่ความสบายที่ MINI ให้มากับ Countryman โฉมใหม่นี้ ก็ไม่ได้ลดทอนถึงความตั้งใจหลักของโมเดล Countryman ลงแต่อย่างใดครับ ตรงกันข้ามกัน กลับเพิ่มความสามารถของ Countryman ให้เด่นชัดมากขึ้นด้วยการพัฒนาเทคโนโลยี ALL4 หรือระบบขับเคลื่อนทุกล้อของ MINI Countryman ที่เปิดตัวมาพร้อมกับ Countryman เจเนอเรชั่นก่อนหน้า (ปี 2010) และได้พัฒนามาอย่างต่อเนื่องจนมาอยู่ใน MINI Clubman โฉมใหม่ ตลอดมาจนถึง Countryman ตัวล่าสุดนี้ ที่มินิเคลมว่า ระบบ ALL4 นั้นชาญฉลาดขึ้นอีกเยอะ (ส่วนหนึ่งมาจากเทคโนโลยี xDrive ของฝั่ง BMW ที่มีจุดมุ่งหมายเดียวกัน) สามารถกระจายกำลังการขับเคลื่อนไปยังล้อที่ต้องการได้อย่างแม่นยำ เพื่อพร้อมลุยในทุกสภาพถนนให้เหมาะกับขนาดและรูปทรงรวมถึงชื่อของตัวรถ Countryman
การทดสอบครั้งนี้คงจะไม่สมบูรณ์ครับ ถ้าไม่มีสภาพ Off road ถนนเละๆ ให้เราได้ทดลองเจ้า Countryman โฉมใหม่นี้กัน ทางมินิก็เลยจัดพื้นที่เอาไว้ให้เราได้ขับลุยกันอย่างเต็มที่ ด้วยรถยนต์ MINI Cooper S Countryman ALL4 รุ่นเครื่องยนต์เดิม แต่เป็นสี Moonwalk Grey พวงมาลัยซ้าย โดยมีรถของเจ้าหน้าที่จาก MINI ขับนำเส้นทางให้ (คงจะกลัวผมขับหลงเข้าไปในป่าครับ 555) และก็นำด้วยความเร็วพอสมควร ให้เราได้กล้าลุยอย่างเต็มที่ด้วย
สภาพถนนที่เห็น ค่อนข้างขัดกับความรู้สึกที่เราต้องกดคันเร่งส่งกำลังให้ตัวรถพุ่งไปข้างหน้าครับ เพราะนี่คือการขับลุยแบบพึ่งพาเทคโนโลยี ALL4 ล้วนๆ แบบไม่ต้องคำนึงถึง skill ในการขับ Off road อะไรเลย เพียงแค่ประคองพวงมาลัยให้อยู่ในทิศทางที่ต้องการ และกดคันเร่งส่งกำลังไปข้างหน้าเท่านั้น ส่วนที่เหลือรถยนต์จะเป็นตัวคำนวนให้เราทุกอย่างว่าต้องกระจายกำลังไปที่ล้อไหน ล้อไหนฟรีก็ล็อกการทำงานของล้อนั้นและให้ล้ออื่นช่วยส่งแรงไปข้างหน้าแทน ระบบ ALL4 จะทำงานตลอดระยะเวลาที่เราขับในเส้นทางที่ไม่ปกติ โดยไม่จำเป็นต้องกดเปิดการทำงานอะไรทั้งนั้น
ของใหม่ที่มาใน MINI Countryman โฉมนี้ คือฟีเจอร์ที่เรียกว่า MINI Country Timer หรือเซ็นเซอร์ตรวจจับการวิ่งบนสภาพถนนไม่ปกติ ที่มันจะขยับแต้มสูงขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเราขับ Off road เป็นระยะเวลานาน (เรียกได้ว่า กระตุ้นให้เราขับ Off road เยอะๆ จะได้คะแนนสูงๆ และได้เลเวลที่สูงขึ้น) ปรากฏบนหน้าจอกึ่งกลางของรถยนต์ เพื่อแสดงให้เห็นว่า การขับ Off road ใน MINI Countryman ตัวนี้เป็นเรื่องง่ายมากๆ นั่นเองครับ
หลังจบเส้นทาง Off road ที่ MINI จัดไว้ให้ขับ สภาพของ MINI Countryman ของเราก็เละเทะประมาณนี้กันเลยล่ะครับ สร้างความมั่นใจในการเอา Countryman ไปลุยกันได้มากขึ้นกว่าเจเนอเรชั่นก่อนหน้าอย่างชัดเจนนะครับ
ทัชสกรีน
อีกหนึ่งของใหม่ที่เพิ่งมากับ MINI Countryman และ MINI ในเจเนอเรชั่นปัจจุบันเป็นครั้งแรก ก็คือหน้าจอ MINI Connected แบบใหม่ที่รองรับระบบสัมผัส (ทัชสกรีน) แล้วครับ งานนี้มินิลงทุนเปลี่ยนแปลงหน้าตา Interface ของหน้าจอกึ่งกลางนี้ใหม่ทั้งหมด ให้สวยงาม และเข้าใจง่ายขึ้น แบ่งหมวดหมู่ให้ชัดเจนขึ้น และควบคุมได้หลากหลายมากขึ้น จากเดิมที่เราต้องควบคุมผ่านทางจอยสติ๊ก MINI Controller ข้างๆ เบรกมือเท่านั้น ตอนนี้เราสามารถให้นิ้วจิ้มหน้าจอได้แล้วแหละ
เมนูที่สะดวกมากขึ้นเยอะในการใช้ทัชสกรีน ก็คือการใช้นิ้วลากแผนที่บนหน้าจอ ได้คล้ายๆ กับที่เราลากแผนที่จนหน้าจอสมาร์ทโฟนครับ ปรับปรุงมาใหม่คราวนี้ น่าจะถูกใจแฟนมินิหลายคนเลย
Fuel Consumption
ความสามารถในการประหยัดน้ำมัน ของ MINI Countryman โฉมใหม่นี้ เนื่องจากผมมีโอกาสได้ขับเป็นระยะทางไม่มากนัก และไม่มีโอกาสได้เติมน้ำมันที่นี่ จึงไม่เพียงพอที่จะจับอัตราสิ้นเปลืองจริงได้ครับ แต่หากมองตัวเลขในสเปคที่ระบุว่าอัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ยของ MINI Cooper S Countryman ALL4 คันนี้อยู่ที่ประมาณ 19.6-20.4 กิโลเมตรต่อลิตร ก็ขะพบว่ามันประหยัดขึ้นกว่าเจเนอเรชั่นก่อนหน้าอย่างผิดหูผิดตาครับ ใกล้เคียงกับที่ทำได้ในมินิในเครื่องยนต์เจเนอเรชั่นปัจจุบัน (แต่อาจแย่กว่าเล็กน้อยด้วยน้ำหนักของตัวรถที่มากกว่าโมเดลอื่นๆ) ตรงนี้ผปมขอติดเอาไว้ก่อน และจะมารีวิวอย่างละเอียดอีกครั้งในสเปคที่วางจำหน่ายในประเทศไทยนะครับ
นั่งหลัง
ที่ขาดไม่ได้เลย คือผมต้องลองเป็นผู้โดยสารที่นั่งแถวหลังของ Countryman ตัวนี้บ้างครับ ซึ่ง MINI ได้จัดเบาะหลังแบบ 3 ที่นั่ง โดยทุกที่นั่งมีหมอนรองศีรษะและเข็มขัดนิรภัยมาให้ เรียบร้อย และมันได้รับอานิสงส์จากความยาวของตัวรถที่เพิ่มมากขึ้นอย่างชัดเจนในเรื่องของ legroom ที่ตอนนี้มีมาให้เยอะมากๆ นั่งยังไงก็เหลือครับ
ส่วนที่ยังไม่ถูกใจผมมากนัก คือทรงของเบาะหลังที่เรียบๆ แบนๆ ต่างจากเบาะของเจเนอเรชั่นก่อนหน้าที่จะมีลักษณะคล้ายกับเป็นหลุมลึกลงไป ซึ่งนอกจากแบบใหม่นี้จะไม่รองรับสรีระเท่าที่ควรแล้ว หากไม่ได้คาดเข็มขัดนิรภัยก็มีโอกาส “ไหล” ไปด้านข้างได้บ้าง แต่ถ้าพูดถึงเรื่องความสบายในการนั่งระยะทางไกลๆ ผมว่าไม่มีอะไรน่าห่วง และช่วงล่างที่นุ่มสบายของ Countryman โฉมใหม่นี้ ก็ไม่ทำให้รู้สึกเมื่อย หรือรู้สึกรับแรงกระแทกเท่าไหร่ครับ
MINI Cooper S E Countryman ALL4
MINI Countryman โฉมนี้ จะยังมาพร้อมกับตัวเลือกของ Plug-in Hybrid มินิเสียบปลั๊กได้เป็นครั้งแรกของแบรนด์อีกด้วย โดยจะมาในชื่อรุ่น MINI Cooper S E Countryman ALL4 ใช้เครื่องยนต์ 1.5 ลิตร 3 สูบ ทวินพาวเวอร์เทอร์โบ 136 แรงม้า ควบคุมการทำงานของล้อคู่หน้า และเสริมด้วยกำลังจากมอเตอร์ไฟฟ้าอีก 88 แรงม้า ควบคุมการทำงานของล้อคู่หลัง และแบ่งโหลดการทำงานได้แบบ ALL4 รวมเป็นกำลังทั้งสิ้น 224 แรงม้า มีแรงบิดสูงสุดถึง 385 Nm สามารถวิ่งด้วยพลังงานแบตเตอรี่ล้วนๆ ได้ไกล 40 กิโลเมตร ทำความเร็วจากแบตเตอรี่ไฟฟ้าแบบไม่พึ่งพาน้ำมันเชื้อเพลิงได้ที่ความเร็วสูงสุด 125 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
MINI Cooper S E Countryman ALL4 จะวางจำหน่ายภายหลังจาก MINI Countryman เครื่องยนต์ปกติเล็กน้อยครับ ตอนนี้มีโชว์อยู่ แต่ยังไม่เปิดให้ทดลองขับแต่อย่างใด และคาดว่ารุ่นนี้จะนำเข้ามาจำหน่ายในประเทศไทยในอนาคตอันใกล้นี้ด้วย
MINI John Cooper Works Countryman
อีกหนึ่งตัวแรง นั่นก็คือ MINI John Cooper Works Countryman หรือ JCW Countryman ที่เปิดตัวตามกันมาแบบติดๆ เสริมความหล่อด้วยชุดแอโร่ไดนามิกของ JCW รอบคัน ชุดเบรก ช่วงล่าง และล้อ JCW 18 นิ้ว ซึ่งแน่นอนว่า มันถูกขับเคลื่อนด้วยขุมพลัง JCW แท้ๆ ที่ความแรง 231 แรงม้า ทำความเร็วจาก 0 ถึง 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ด้วยระยะเวลา 6.5 วินาที ความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 234 km/h และมาพร้อมกับเทคโนโลยี ALL4 เป็นออปชั่นมาตรฐาน
MINI John Cooper Works Countryman จะวางจำหน่ายในภายหลังเช่นกัน และยังไม่มีความแน่นอนว่าจะถูกนำเข้ามาจำหน่ายในประเทศไทยหรือไม่
วันวางจำหน่าย
MINI Countryman โฉมใหม่นี้ มีกำหนดที่จะเผยโฉมอย่างเป็นทางการในประเทศไทยในงาน Bangkok International Motor Show 2017 ในช่วงปลายเดือนมีนาคมที่จะถึงนี้ โดยในงานจะมีการเปิดเผยราคา (ล็อตแรกจะเป็นรถนำเข้าทั้งคันจากโรงงาน Oxford Plant), ออปชั่น และรุ่นเครื่องยนต์ที่จะนำเข้าไปขายในประเทศไทย ซึ่งคาดว่าจะมีทั้งหมด 3 ตัวเลือก คือ MINI Cooper Countryman, MINI Cooper S Countryman ALL4 และ MINI Cooper SD Countryman ALL4 ก่อน โดยจะมีตัวเลือกของเครื่องยนต์ Plug-in Hybrid ในรุ่น MINI Cooper S E Countryman ALL4 เพิ่มเติมในภายหลัง รวมถึงจะมีการประกาศถึงแนวทางการนำเข้าไปประกอบในประเทศไทย หรือ อาจใช้ฐานการประกอบในประเทศมาเลเซีย เพื่อผลประโยชน์ทางด้านภาษี ที่ตอนนี้ยังต้องรอความชัดเจนจากทางมินิ ประเทศไทยถึงการตัดสินใจนี้อีกครั้ง
สรุป
เติบโตขึ้นมาก ใหญ่ขึ้นมาก กับ MINI Countryman โฉมใหม่ ซึ่งไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงเพียงแค่เรื่องของขนาดเท่านั้น แต่มันคือการเติบโตในแง่ของแบรนด์ MINI เองด้วย ซึ่งหากใครได้ติดตามความเปลี่ยนแปลงของแบรนด์มินิในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา จะเข้าใจถึงแนวคิดของการพัฒนา Countryman โฉมนี้ให้มีความใหญ่โตขึ้น คาแรคเตอร์ชัดเจนขึ้น และ เหมาะกับทุกคนมากขึ้นได้เป็นอย่างดีครับ
“ถ้าไม่รัก ก็เกลียดไปเลย” เคยเป็นคำนิยามของ MINI ในเจเนอเรชั่นแรกๆ และยังคงฝังอยู่ในความคิดของใครหลายคน ที่มีโอกาสได้สัมผัสกับมินิในรุ่นแรกๆ ที่เรามักจะเจอกับแฟนมินิระดับ die hard ชื่นชอบ หลงใหลในแบรนด์นี้ กับจะได้เจอกับคนที่เคยลองนั่งเพียงแค่ 1-2 ครั้ง ก็รู้สึกว่า ไม่เอาอีกแล้ว และนั่นเป็นสิ่งที่แบรนด์มินิเองปฏิเสธได้ยาก ว่าทิศทางในช่วงแรกของ MINI มาในแนวทางนั้นจริง จนต้องขยับขยายให้แบรนด์ MINI นั้น มีความเหมาะสมกับกลุ่มคนจำนวนมากขึ้น ออกเป็น MINI Countryman โฉมแรกมาในปี 2010
แต่ความที่คาแรคเตอร์ของแบรนด์ MINI ในขณะนั้น มีความชัดเจนหนักแน่น (หรือเข้าขั้นดื้อเลยก็ว่าได้) โฟกัสที่คนขับเป็นหลัก ขับสนุก สปอร์ต กระแทกกระทั้น โกคาร์ตฟิลลิ่ง ซึ่งขัดแย้งกับกลุ่มเป้าหมายที่ MINI ต้องการขยับขยายให้มีความกว้างขวางขึ้นกับโมเดล Countryman จึงทำให้ MINI เองก็ต้องทบทวนใหม่ ว่าหากจะเป็นแบรนด์ที่ตอบรับกับกลุ่มเป้าหมายที่ใหญ่ขึ้นแล้ว แบรนด์เองก็ต้องเติบโตขึ้นกว่าเดิมด้วยเช่นกัน นำพาไปถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ของแบรนด์ MINI ในปี 2015 ที่รื้อเปลี่ยนโลโก้แบรนด์ เปลี่ยนคาแรคเตอร์แบรนด์ และ เปลี่ยน Core ของแบรนด์ MINI ใหม่ทั้งหมด จากการโฟกัสที่ความสนุกสนานตื่นเต้น “Excitement” มาเป็นการโฟกัสที่ “Passion” แทน และบอกกับแฟนๆ มินิทั่วโลกว่า เราได้เติบโตขึ้นแล้วนะ เปิดตัว MINI Clubman โฉมใหม่ ภาพลักษณ์ใหม่ ในลุคของ “Gentleman” ขึ้นมาอย่างที่เราได้เห็นความเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนนี้ในช่วงตลอดปี 2016 ที่ผ่านมา
มาถึง MINI Countryman โฉมใหม่ล่าสุดนี้ ว่าการเติบโตของแบรนด์ MINI ย่อมนำพามาถึงการเติบโตของรถยนต์ในไลน์อัพทุกโมเดลด้วยครับ MINI Countryman ตัวนี้ ไม่ได้ใหญ่ขึ้นเพียงแค่ขนาด แต่มันพยายามทำทุกอย่างให้กลายเป็นรถที่เหมาะกับทุกๆ คน ที่ถึงมันจะสร้างความประหลาดใจให้กับแฟนมินิดั้งเดิม ว่ามันคือความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ แต่มันก็ปฏิเสธได้ยาก ว่าตลาดที่ต้องการรถยนต์ไซส์นี้ ต่างมีความต้องการรถยนต์ที่ให้คาแรคเตอร์ในรูปแบบที่ Countryman โฉมใหม่นี้เป็นอยู่ นั่นคือมีความคล่องตัว สะดวกสบายในการขับขี่ เอนกประสงค์ และพร้อมที่ใช้งานในทุกสถานการณ์ได้ ซึ่ง MINI เองก็พยายามสุดความสามารถในการที่จะผสมผสานเอาคาแรคเตอร์เฉพาะตัวของแบรนด์ MINI มาเข้ากันกับความต้องการของตลาดในรถยนต์ของไซส์ Countryman ให้ออกมาเป็นรูปโฉมล่าสุดคันนี้
ผมในฐานะแฟนมินิมาอย่างยาวนาน คิดว่า MINI Countryman โฉมใหม่นี้ เปลี่ยนภาพลักษณ์ของ “ไม่รัก ก็เกลียดเลย” มาเป็น “ถึงจะไม่รัก ก็เกลียดมันได้ยาก” ได้อย่างสมบูรณ์แบบ และก้าวเข้ามาอยู่ในตัวเลือกของ “รถยนต์คันแรกในบ้าน” ของใครหลายคนได้ไม่ยาก ส่วนแฟนมินิแบบ die hard ที่ยังคงชื่นชอบ Hot Hatch แบบจี๊ดจ๊าดอยู่ คงต้องโฟกัสที่ F56 โฉมดั้งเดิมกันต่อไปครับ
พบกันใหม่รีวิวหน้า สวัสดีครับ
บทความโดย:
อู๋ @spin9
ขอขอบคุณ:
มินิ ประเทศไทย