เข้าหน้าฝนเมืองไทย ฝนกระหน่ำกันต่อเนื่องแทบทุกวัน บางพื้นที่ก็มีน้ำท่วมขัง น้อง MINI ของเราลุยไหวหรือไม่? ควรใช้ MINI ลุยฝนหรือควรเปลี่ยนไปใช้คันอื่น? MINI ลุยน้ำท่วมขังได้สูงเท่าไหร่? มาดูกันครับ
MINI ถือเป็นรถยนต์ขนาดเล็กที่ขึ้นชื่ออย่างยิ่งเรื่องโรคกลัวน้ำ เหตุผลที่ต้องพูดแบบนั้นก็เพราะว่า MINI ในเจเนอเรชั่นแรก (R50/R52/R53) นั้นจะมีพัดลมไฟฟ้าอยู่ใต้เครื่องยนต์ ส่วนที่แทบจะอยู่ล่างสุดของห้องเครื่องยนต์เลยก็ว่าได้ พอมีการลุยน้ำ พัดลมที่ว่า นอกจะตัวมันเองจะช็อตแล้ว ยังเผื่อแผ่พัดเอาน้ำขึ้นไปสร้างความเสียหายให้กับส่วนอื่นๆ ในห้องเครื่องยนต์ด้วย แถมด้วยสภาพอากาศในประเทศเรา เวลาฝนตก ก็ตกกันแบบกระหน่ำ ยาวนาน มืดฟ้ามัวดิน ต่างจากฝนยุโรปที่จะโปรยปราย และระบบการระบายน้ำที่ท่วมขังตามตรอกซอกซอยของไทยเรา ก็ยังทำได้ไม่ดีนัก
รถ MINI ในเจเนอเรชั่นแรก (R50/R52/R53) จึงขอแนะนำอย่างยิ่งว่า อย่าขับลุยน้ำที่ท่วมขังเป็นอันขาด ซึ่งระดับน้ำที่ลุยได้สูงสุดตามสเปคของ MINI แล้ว อยู่ที่ 30 เซนติเมตร ด้วยความเร็วแบบปล่อยไหล แต่ในความเป็นจริงของสภาพถนนบ้านเรา ทั้งความไม่เรียบของพื้นถนน และสภาพที่มีรถโดยสารอื่นๆ ร่วมทางด้วย อาจทำให้น้ำกระเพื่อมสูงขึ้นกว่าที่ท่วมขังจริงอีกค่อนข้างมาก ระดับน้ำที่ผมแนะนำของการใช้ R50/R52/R53 ลุย อยู่ที่ประมาณ 15 เซนติเมตรเท่านั้นครับ และหากจำเป็นต้องลุยน้ำจริงๆ แนะนำให้ปิดแอร์ เพื่อไม่ให้พัดลมไฟฟ้าใต้เครื่องยนต์ทำงาน
ส่วน MINI ในเจเนอเรชั่นที่สอง (R56/R55/R57/R58/R59) และเจเนอเรชั่นที่สาม (F56/F55/F54/F57) มีการปรับปรุงห้องเครื่องยนต์มาใหม่แล้ว สามารถลุยน้ำได้สูงขึ้นกว่าเดิมโดยไม่สร้างความเสียหายให้กับระบบไฟฟ้าและเครื่องยนต์ แต่ระดับน้ำที่ MINI แนะนำ ก็ยังคงอยู่ที่ 30 เซนติเมตร ด้วยความเร็วแบบปล่อยไหลเช่นกัน ซึ่งอย่าลืมเผื่อกรณีที่รถโดยสารอื่นๆ บนถนนใช้ความเร็ว ที่อาจจะทำให้ระดับน้ำสูงขึ้นกว่าที่ควรจะเป็นได้ หากไม่แน่ใจ ไม่แนะนำให้ลุยโดยเด็ดขาดครับ
MINI Countryman และ MINI Paceman ค่อนข้างจะได้เปรียบมากหน่อยในการใช้ลุยน้ำท่วมขัง เพราะมิติของตัวรถที่สูงขึ้น แต่เช่นกัน ระดับน้ำที่ MINI แนะนำ คือไม่เกิน 30 เซนติเมตรครับ โดยที่รถยนต์ทั้งสองรุ่นนี้ ไม่ได้ออกแบบมาให้ลุยน้ำอย่างที่อาจจะเข้าใจไปเองแต่อย่างใด
สำหรับรถทุกรุ่น หลังจากมีการลุยน้ำท่วมขังมาแล้ว อย่าลืมย้ำเบรคเบาๆ หลายๆ ครั้ง เพื่อไม่ให้ผ้าเบรคมีความชื้นสะสม ซึ่งอาจส่งผลต่อระยะเบรค และความสามารถในการเบรคเมื่อมีเหตุฉุกเฉิน ภายหลังจากที่เพิ่งลุยน้ำท่วมมา
การขับรถผ่านสภาพพื้นถนนที่เปียกและลื่นด้วยความเร็วสูง อาจก่อให้เกิดแรงดันของน้ำ บีบอัดอยู่ในช่องซุ้มล้อ (hydroplaning) ซึ่งจะส่งผลให้ความสามารถในการเกาะถนนของยางรถยนต์น้อยลงหรือสูญเสียความสามารถในการเกาะถนนไปทั้งหมดได้ รวมถึงต้องระวังเพิ่มขึ้นอีกหากใช้ความเร็วสูงและมีน้ำขังอยู่ด้านในด้านหนึ่งของถนน ที่อาจส่งผลต่อการควบคุมรถ ต้องขอแนะนำว่าในสภาพพื้นถนนที่เปียก ลื่น และอาจมีน้ำขัง ไม่ควรใช้ความเร็วที่สูงเกินไป เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นอาจรุนแรงกว่าภาพที่เห็นว่าเป็นการลุยถนนเปียกๆ ธรรมดาครับ
ระบบปัดน้ำฝน
การดูแลเรื่องระบบปัดน้ำฝนของรถ MINI คล้ายคลึงกับการดูแลระบบปัดน้ำฝนในรถยนต์อื่นๆ ครับ คือหมั่นตรวจสอบสภาพยางปัดน้ำฝน ว่าอยู่ในสภาพดี ไม่ฉีกขาด ทั้งคู่หน้า และใบปัดน้ำฝนหลัง ยางปัดน้ำฝนที่เปลี่ยนใหม่ ควรใช้อะไหล่แท้ของ MINI ที่มีความคงทน และตรงกับสเปคของก้านปัดน้ำฝนที่ติดมากับตัวรถ
ไม่ควรปัดน้ำฝนขณะที่กระจกแห้ง เพราะจะทำให้สภาพยางปัดน้ำฝนเสื่อมสภาพเร็วกว่าปกติ
ใบปัดน้ำฝนหลัง (เฉพาะรุ่นที่มี) มีความสำคัญมากสำหรับรถ MINI เพราะรูปทรงของมินิเป็นลักษณะของรถ Hatchback ท้ายตัด ขณะที่วิ่งจะมีลมตีกลับเข้ามาที่บริเวณท้ายรถ ดังนั้นเมื่อวิ่งผ่านสภาพพื้นถนนที่เปียกน้ำ ละอองน้ำจากพื้นถนน และละอองน้ำฝนก็จะตีกลับมาหาท้ายรถ MINI เช่นกัน ทำให้ท้ายรถสกปรกเมื่อวิ่งในหน้าฝน ซึ่งก็จะทำให้กระจกหลังรถสกปรกจากละอองน้ำดังกล่าวด้วย ความสกปรกของท้ายรถนี้ ต่างจากด้านหน้ารถที่เจอน้ำฝนโดยตรงค่อนข้างมาก เพราะจะมีสิ่งสกปรกต่างๆ บนพื้นถนนผสมขึ้นมาเป็นละออง หากใบปัดน้ำฝนหลังไม่อยู่ในสภาพที่ดี จะทำให้สูญเสียทัศนวิสัยด้านท้ายรถขณะฝนตกได้เลย จึงจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับคนที่ขับรถ Hatchback ที่จะต้องดูแลสภาพใบปัดน้ำฝนหลังให้ดี ไม่แพ้ใบปัดน้ำฝนคู่หน้าครับ
รถ MINI รุ่นที่มีเซนเซอร์น้ำฝน จะมีระบบปัดน้ำฝนอัตโนมัติ (สังเกตโลโก้ ที่ก้านเปิดใบปัดน้ำฝน ด้านขวาของพวงมาลัย) สามารถที่จะกดเปิดให้ระบบทำงานโดยอัตโนมัติในขณะฝนตกได้ โดยที่ความไวของเซนเซอร์ สามารถปรับได้ 5 ระดับ ที่หน้าจอของตัวรถ (ดูวิธีการปรับได้ที่คู่มือประจำรถ)
รถ MINI รุ่นที่มีระบบฉีดล้างทำความสะอาดไฟหน้ารถ ระบบจะทำงานพร้อมกับที่เราทำการฉีดน้ำยาทำความสะอาดกระจกหน้า ซึ่งมีประโยชน์มากในการขับขี่ทางไกล หรือเมื่อเจอถนนที่มีฝุ่นควันมากครับ
อย่าฉีดน้ำยาทำความสะอาดกระจก หากไม่มีน้ำยาอยู่ในถัง (เติมน้ำยาทำความสะอาดกระจก หรือเติมน้ำเปล่า ในถังได้ในห้องเครื่องยนต์) ถังมีความจุประมาณ 4.5 ลิตร สำหรับรุ่นที่มีระบบฉีดทำความสะอาดไฟหน้า และ 2.5 ลิตร สำหรับรุ่นที่ไม่มีระบบฉีดทำความสะอาดไฟหน้า
อย่างไรก็ตาม การขับขี่ขณะฝนตก และ ลุยน้ำที่ท่วมขัง ควรใช้การขับขี่ที่ระมัดระวังมากเป็นพิเศษ ใช้ความเร็วต่ำ เปิดไฟหน้ารถหากทัศนวิสัยไม่ดี ไม่เปิดไฟฉุกเฉิน หมั่นตรวจสอบสภาพยางปัดน้ำฝน สังเกตไฟเตือนต่างๆ ที่ปรากฏขึ้นบนหน้าจอของตัวรถ ขอให้ขับขี่ด้วยความปลอดภัยกันทุกท่านครับ