6 ปีเต็มๆ ตั้งแต่เปิดตัว MINI Countryman โฉมแรกมาในรหัส R60 เมื่อปี 2010 ในที่สุด MINI ก็ได้ฤกษ์อัปเกรด MINI รุ่นใหญ่ที่สุดของครอบครัว มาเป็นโฉมใหม่ ด้วยเทคโนโลยีใหม่ทั้งหมด ภายในรหัสพัฒนา F60 เพื่อเตรียมวางจำหน่ายในปี 2017 แล้ว
MINI Countryman ถือเป็นรถยนต์มินิที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในบรรดาไลน์อัปของรถยนต์ MINI ทุกรุ่นครับ และความสำเร็จของ MINI Countryman โฉมแรกที่ได้เปิดตัวในปี 2010 สามารถทำยอดขายรวมทั้งสิ้นกว่า 540,000 คันทั่วโลก ก็เป็นเครื่องการันตีได้เป็นอย่างดี ว่า MINI ขับเคลื่อนมาถูกทาง แม้จะมีกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างมากในช่วงปีแรกของการเปิดตัวก็ตามที และโดยเฉพาะอย่างยิ่งในตลาดบ้านเรา ที่มีการตัดสินใจนำรถยนต์ MINI Countryman เข้ามาประกอบในประเทศ ส่งผลให้ราคาขายน่าดึงดูดจนมีแฟนๆ มินิในไทย ได้มีโอกาสครอบครอง MINI Countryman เป็นจำนวนมาก ชนิดที่เราสามารถพบเห็นบนท้องถนนได้ไม่ยากนัก
วันนี้ได้ฤกษ์อย่างเป็นทางการ ที่ MINI จะทำการปรับโฉม MINI Countryman มาเป็นโฉมใหม่ ปิดตำนานรถยนต์มินิในเจเนอเรชั่นที่สอง ในรุ่นสุดท้าย จากรหัส R60 ขยับมาเป็น F60 ด้วยการอัปเกรดทุกสิ่งทุกอย่างของ Countryman ให้เข้ายุคเข้าสมัยมากขึ้น โดยมีไฮไลต์สำคัญ ดังนี้ครับ
- เพิ่มขนาดมิติของตัวรถให้มีขนาดใหญ่ขึ้นทุกด้าน และมีความยาวมากกว่า Countryman เดิมถึง 20 เซนติเมตร
- มี 5 ที่นั่งแบบเต็มตัว ให้ความสบายกับผู้โดยสารทุกคนในรถ
- ฝากระโปรงท้าย สามารถปิด/เปิดด้วยไฟฟ้าเป็นครั้งแรก
- มี MINI Picnic Bench กางออกมาคร่อมกันชนท้าย เพื่อแปลงเป็นที่นั่งบริเวณท้ายรถได้เมื่อเปิดฝากระโปรงท้ายอยู่
- เพิ่มรุ่น Cooper S E Countryman ALL4 มินิเสียบปลั๊กได้ (Plug-in Hybrid) เป็นครั้งแรกของแบรนด์มินิ
- ใช้เครื่องยนต์ และ เกียร์ในเจเนอเรชั่นใหม่ รวมถึงอัปเกรดระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ (ALL4) เป็นเจเนอเรชั่นใหม่
- หน้าจอกึ่งกลางรถ รองรับระบบทัชสกรีนเป็นครั้งแรก
- เพิ่มโหมด MINI Country Timer ตรวจจับการขับขี่บนพื้นถนนออฟโรด
- อัปเกรด MINI Connected ให้มีความเก่งกาจมากขึ้น
MINI Countryman โฉมใหม่ มีการปรับปรุงดีไซน์ใหม่ทั้งหมดครับ เริ่มจากมิติของตัวรถที่มีการขยายขึ้นทุกด้าน ทั้งความกว้าง ที่กว้างขึ้นประมาณ 3 เซนติเมตร, ความยาวที่ยาวกว่ารุ่นเดิมถึง 20 เซนติเมตร และเพิ่มความสูงของตัวรถ ที่ไปเน้นบริเวณใต้ท้องรถให้สูงขึ้น มี ground clearance ที่ดีขึ้นกว่ารุ่นเดิม พร้อมรองรับทุกสภาพพื้นผิวถนนได้มากกว่ารุ่นเดิม
ดีไซน์ด้านหน้าของตัวรถ มีการใช้กระจังหน้ารูปร่างคล้ายกับรุ่นเดิม ไฟหน้าถูกปรับให้โค้งมน และมีไฟ Daytime Running Light เป็นวงแหวนซ้อนอยู่โดยรอบอีกชั้น กันชนถูกเพิ่มส่วนของสีดำเงาเข้าไป คล้ายคลึงกับ MINI Hatch ในโฉม F56 ซ้อนไปด้วยกระจังหน้าชิ้นล่าง พร้อมไฟตัดหมอกขนาดใหญ่ ที่เสริมให้มิติของรถ Countryman ดูมีความสูง และมีความลงตัวมากขึ้น
ด้านข้างของตัวรถ จะเห็นว่าตัวรถมีความยาวขึ้นอย่างชัดเจนมากๆ โดยเฉพาะประตูคู่หลัง ที่สามารถเปิดขึ้นลงได้ง่ายกว่าโฉมปัจจุบัน หลังคามีความลาดเอียงลงเล็กน้อย พร้อมรางแร็กหลังคาชิ้นโต ส่วนสเกิร์ตข้าง ก็มีการใช้เส้นสายที่เสริมความลงตัวให้กับ Countryman คันนี้ได้ดีทีเดียว
ส่วนที่เปลี่ยนไปอย่างมากอีกส่วน คือ side scuttle หรือกรอบไฟเลี้ยวด้านข้างตัวรถ ที่มีการปรับเปลี่ยนดีไซน์ให้ดูเหมือนเป็นลูกศรชี้ไปด้านหน้า พร้อมสัญลักษณ์ตัว S ในรุ่น MINI Cooper S โดยกรอบไฟเลี้ยวนี้ ในรุ่น MINI Cooper S E (Plug-in Hybrid) จะสามารถเปิดออกมาเป็นตำแหน่งของช่องเสียบชาร์จแบตเตอรีได้อย่างแนบเนียนอีกด้วย
ด้านท้ายของตัวรถ มีการขยายขนาดของไฟท้ายขึ้นอย่างชัดเจน ฝากระโปรงท้ายมีลักษณะคล้ายกับรุ่น Hatch แต่เสริมเอากันชนท้ายที่ MINI ยังคงเลือกใช้ส่วนของสีดำเงามาเสริมให้มินิของรถดูเคร่งขรึมมากขึ้น และยังคงมีอักษรกำกับชื่อรุ่น Countryman พาดอยู่บริเวณฝากระโปรงท้าย คล้ายคลึงกับที่ปรากฏอยู่ใน Countryman รุ่นเดิม และใน Clubman รุ่นปัจจุบัน
MINI Countryman โฉมใหม่นี้ จะเปิดตัวมาพร้อมกับสีใหม่อีก 2 สี คือสีฟ้า Island Blue ตามที่ปรากฏอยู่ในรูป บวกกับสี Chestnut (ชื่อสีเท่มาก – คล้ายสีทองแดงที่เคยออกมาก่อนหน้านี้) และจะเปิดตัวพร้อมกับล้ออัลลอยด์ลายใหม่ โดย MINI Countryman จะมีขนาดของล้ออัลลอยด์มาตรฐานตั้งแต่ 17 นิ้ว ไปจนถึงขนาด 19 นิ้ว ตามแต่รุ่นและออปชั่นของแต่ละประเทศ
พื้นที่เก็บสัมภาระในฝากระโปรงท้ายของ MINI Countryman โฉมใหม่ ถูกปรับให้มีขนาดใหญ่ขึ้นอย่างมาก โดยรุ่นนี้สามารถเก็บสัมภาระได้ 450 ลิตร (เทียบกับ 350 ลิตรในรุ่นก่อนหน้า) และสามารถพับเบาะหลัง ได้แบบ 40:20:40 ตามความต้องการในการใช้งานจริง ซึ่งเมื่อพับเบาะหลังลงหมดแล้ว จะสามารถเก็บสัมภาระได้มากถึง 1,309 ลิตร ซึ่งใหญ่กว่ารุ่นเดิมถึงกว่า 220 ลิตรเลยทีเดียว
MINI Picnic Bench สามารถกางออกมาพาดบริเวณขอบของกันชนหลัง เมื่อมีการเปิดฝากระโปรงท้ายขึ้น เพื่อช่วยอำนวยความสะดวกให้เราสามารถนำของขึ้นลงฝากระโปรงท้ายได้ง่ายขึ้นกว่าเดิม และมันยังใช้เป็นที่นั่ง สำหรับนั่งปิกนิกจากด้านท้ายรถได้ด้วย ฟีเจอร์นี้เพิ่งจะถูกเพิ่มเข้ามาในรถยนต์มินิเป็นครั้งแรก
ภายในตัวรถ ด้วยอานิสงส์ของการขยายมิติของตัวถังขึ้น ทำให้คนขับและผู้โดยสารมีพื้นที่ภายในกว้างขึ้นทุกด้าน เบาะที่นั่งคู่หน้า มีออปชั่นของการปรับด้วยไฟฟ้าเข้ามา (เช่นเดียวกับ Clubman โฉมปัจจุบัน) มีตำแหน่งของที่นั่งโดยรวมสูงขึ้นกว่ารุ่นเดิม ส่วนเบาะหลัง สามารถนั่งได้ 3 คน มีพื้นที่ legroom มากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แอร์ถูกแบ่งโซน และมีแอร์สำหรับผู้โดยสารแถวหลังแล้ว
ระหว่างที่นั่งคู่หน้า ถูกปรับปรุงมาให้มีลักษณะคล้ายคลึงกับ Clubman ในโฉมปัจจุบัน คือปรับเปลี่ยนเบรกมือมาใช้เป็นแบบไฟฟ้า วางคู่กับจอยสติ๊ก MINI Controller อย่างเรียบร้อย เกียร์สามารถปรับโหมดการขับขี่ได้สามโหมดเช่นเดียวกับ MINI รุ่นอื่นๆ ในเจเนอเรชั่นปัจจุบัน (โหมด Mid, Sport, และ Green) และมีช่องวางแก้วน้ำ 2 ช่อง
ส่วนที่ปรับเปลี่ยนใหม่ทั้งหมด คือดีไซน์ของคอนโซลหน้ารถ ที่กว้างขึ้นอย่างมาก ช่องแอร์ถูกปรับดีไซน์ให้เป็นรูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าแนวตั้ง หน้าตากึ่งกลางรถยนต์รองรับระบบทัชสกรีนเป็นครั้งแรก ปุ่มปรับโหมดต่างๆ อยู่จัดเรียงอยู่เหนือปุ่มสตาร์ตได้อย่างเป็นระเบียบ ถือว่าเป็นคอนโซลรถยนต์สมัยใหม่ที่ดูเรียบง่ายมากที่สุดรุ่นหนึ่งเลยทีเดียวครับ
เอกลักษณ์โดดเด่นของห้องโดยสารมินิ อย่างไฟ ambient light ที่ปรับเปลี่ยนสีสันได้ตามความต้องการของผู้ใช้งาน ยังคงมีอยู่อย่างชัดเจนใน Countryman รุ่นใหม่นี้ และเพิ่มตำแหน่งของหลอดไฟให้สีสันของ ambient light มองเห็นได้ชัดเจนมากขึ้น สว่างมากขึ้นกว่าเดิม
ในช่วงแรกเริ่ม MINI Countryman ใหม่ จะเปิดตัวมาทั้งหมด 4 ตัวเลือกก่อนครับ ประกอบไปด้วย
- MINI Cooper Countryman: 3-cylinder petrol engine, capacity: 1 499 cc,
output: 100 kW/136 hp, max. torque: 220 Nm. - MINI Cooper S Countryman: 4-cylinder petrol engine, capacity: 1 998 cc, output: 141 kW/192 hp, max. torque: 280 Nm.
- MINI Cooper D Countryman: 4-cylinder diesel engine, capacity: 1 995 cc, output: 110 kW/150 hp, max. torque: 330 Nm.
- MINI Cooper SD Countryman: 4-cylinder diesel engine, capacity: 1 995 cc, output: 140 kW/190 hp, max. torque: 400 Nm.
ส่วนรุ่น Plug-in Hybrid นั้น จะมาในชื่อรุ่น MINI Cooper S E Countryman ALL4 ใช้เครื่องยนต์ 3 สูบ 1.5 ลิตร ทวินพาวเวอร์เทอร์โบ 136 แรงม้า ร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้าที่ให้กำลังได้อีก 88 แรงม้า รวมเป็นพละกำลังสูงสุดที่ 224 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 385 Nm จะถูกเปิดตัวตามออกมาในอนาคต
MINI Countryman ใหม่ทุกรุ่น จะมีทั้งตัวเลือกของเกียร์ธรรมดา 6 สปีด และ เกียร์อัตโนมัติ ที่มีทั้งเกียร์ 6 สปีดในรุ่นมาตรฐาน และตัวเลือกของเกียร์ 8 สปีดในรุ่น Cooper D และ Cooper S แต่ถ้าเป็น Cooper SD ก็จะเป็นเกียร์ 8 สปีดมาให้เลย
MINI Countryman ใหม่นี้ จะเผยโฉมคันจริงครั้งแรกในงาน Los Angeles Auto Show 2016 ช่วงกลางเดือนพฤศจิกายนนี้ และจะเริ่มวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการในทวีปยุโรปตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2017 และจะขยายไปยังตลาดโลกตั้งแต่เดือนมีนาคม 2017 เป็นต้นไปครับ ส่วนจะถูกนำเข้ามาจำหน่ายในประเทศไทยช่วงเดือนไหน มีรุ่นไหนบ้าง เปิดราคาเท่าไหร่ รวมถึงแผนในการนำเข้ามาประกอบในประเทศไทยจะเป็นอย่างไร ผมจะคอยรายงานให้ได้อ่านกันอย่างใกล้ชิดอย่างแน่นอน